HoonSmart.com>> “บลจ.กสิกรไทย” มองไวรัสโคโรนากระทบหุ้นระยะสั้น เชื่อรัฐบาลจีนคุมสถานการณ์ได้เร็ว จังหวะทยอยลงทุนกองทุนหุ้นไทย หวังทำกำไรระยะยาว ยืนเป้าสิ้นปี 1,700 จุด ฟากบลจ.วรรณ แนะกองทุนหุ้นปันผลสูง-หุ้นขนาดใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัส “บลจ.ทาลิส” ประเมินนักท่องเที่ยวหายฉุดกำไร AOT ไม่โต ประเมินดัชนีแกว่งกรอบปีนี้ 1,500-1,750 จุด ส่วนหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ตกเป็นเป้าถล่มดิ่ง 7% ผวาโรงงานจีนหยุดผลิตนานออเดอร์หาย KCE ทรุดหนักสุด 14%
น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งคาดว่าทางรัฐบาลจีนจะมีระบบจัดการที่ดีและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว จึงมองว่าในระยะสั้นดัชนีหุ้นไทยอาจยังมีความผันผวนจากความกังวลของผู้ลงทุนและข่าวที่เข้ามากระทบ แต่หากสถานการณ์สามารถควบคุมได้ภายใน 2-3 เดือน ดัชนีตลาดในระดับ 1,500 จุด น่าจะสะท้อนความกังวลไประดับหนึ่งแล้ว
ส่วนในระยะยาวการลงทุนในหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าดัชนีในปีนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะที่ระดับ 1700 จุด
“ตลาดหุ้นลดลงตั้งแต่เริ่มมีความกังวลต่อข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่ลุกลามและพบผู้ติดเชื้อจำนวนเพิ่มขึ้น สาเหตุที่ดัชนีปรับตัวลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนื่องจาก นักท่องเที่ยวชาวจีนค่อนข้างมีความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวของไทย และภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นประมาณ 12% ของ GDP”น.ส.ธิดาศิริ กล่าว
นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนมากถึง 28% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปี 2562 และ 30-40% เป็นกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งมองว่าในครั้งนี้ทางการจีนมีระบบการจัดการที่รวดเร็วกว่าในอดีต เช่น มีการประกาศปิดระบบการคมนาคมเข้า-ออกในเมืองอู่ฮั่นและในอีกหลายเมืองที่ใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส การสั่งห้ามทัวร์จีนเดินทางออกนอกประเทศ เป็นต้น ประกอบกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการพัฒนาและมีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้น่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ดีกว่าในอดีต
น.ส.ธิดาศิริ กล่าวว่า คำแนะนำการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนที่รับความผันผวนและสามารถลงทุนในระยะยาวได้ จังหวะนี้เป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นไทย โดย บลจ.กสิกรไทย ยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ และสภาพคล่องในระบบมีอยู่สูง ประกอบกับราคาหุ้นที่ปรับลงมาในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ผลตอบแทนยังมีความน่าสนใจในเชิงเปรียบเทียบ
อย่างไรก็ตาม หากผู้ลงทุนไม่สามารถรับความผันผวนได้ หรือ ลงทุนในกองทุนหุ้นไทยไปบางส่วนแล้ว แนะนำให้ถือต่อและรอประเมินสถานการณ์
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า ภาพการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกต่อเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในขณะนี้ยังไม่ได้รับกระทบโดยตรง แต่แนวโน้มกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวจีนชะลอตัวลงในระยะสั้น ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่งให้ปรับตัวลดลง โดยคาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ S&P500 และดัชนีตลาดหุ้นยุโรป EUROSTOXX 600 มีโอกาสปรับตัวลดลงประมาณ 3-5% นับจากวันศุกร์ที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหุ้นจีนมีโอกาสปรับตัวลงประมาณ 6-8% อย่างไรก็ดี บลจ.วรรณ มีมุมมองการคาดการณ์ทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นดังกล่าว จากการวิเคราะห์บนสมมุติฐานการรับมือที่ดีของรัฐบาลจีนในปัจจุบันและอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำกว่าในอดีต
นายพจน์ กล่าวว่า การลงทุนของตลาดหุ้นนั้น ปัจจุบันยังเป็นผลกระทบทางอ้อมจากเหตุการณ์โรคระบาดดังกล่าว แต่ต้องยอมรับว่า มาตรการฉุกเฉินของรัฐบาลจีนทั้งระงับระบบขนส่งสาธารณะและห้ามกรุ๊ปทัวร์ออกนอกประเทศ เพื่อป้องกันแพร่ระบาดก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนรวมทั้งเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการจับจ่ายในภาคครัวเรือน
อย่างไรก็ดีในระยะถัดจากนี้ มองว่า หากโรคดังกล่าวมีแนวทางที่คลี่คลายลง ทางรัฐบาลจีนอาจจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจในช่วงนี้ ซึ่งก็จะมีผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ทำให้มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวลดลงน้อยกว่าหากเทียบกับสถานการณ์ระบาดของโรคซาร์ส ซึ่งขณะนั้นดัชนี Hang Seng ปรับตัวลดลงประมาณ 13% โดยเป็นการเก็บข้อมูลจาก Morgan Stanly
ในส่วนมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมเช่นกัน ผ่านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ค้าปลีก เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ สายการบิน กลุ่มโรงพยาบาลและธุรกิจโรงแรม ที่ในระยะสั้นถูกผลกระทบจากแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่อาจจะลดลงในระยะสั้นได้ ทั้งนี้ บลจ.วรรณ มองกรอบดัชนีในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500 – 1,560 จุด
นายพจน์ กล่าวว่า นักลงทุนที่สนใจตลาดหุ้นไทยและยังมีสภาพคล่อง แนะนำให้ทยอยสะสมในกลุ่มหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ อาทิ หุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงและหุ้นขนาดใหญ่ โดยกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.วรรณ ได้แก่ กองทุนเปิด วรรณ เซ็ท ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน (ONE-SETHD) กองทุนเปิด วรรณเอเอ็มเซ็ท 50 (1AMSET50-RA)
ส่วนตลาดหุ้นตลาดต่างประเทศแนะนำ กองทุนเปิด วรรณ ดิสคัฟเวอรี่ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป RA (ONE-DISC-RA) กองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ (ONE-UGG) ทั้งนี้สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแนะนำให้ชะลอการลงทุน
ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยถูกหลายปัจจัยลบรุมเร้า โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นมีโอกาสที่ดัชนีจะหลุด 1,500 จุดได้ โดยตลาดพร้อมแพนิคหรือปรับตัวลดลงแรงๆ ได้อีก เนื่องจากตลาดถูกกดดันจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ล่าช้า ปัญหาภัยแล้ง รวมถึงปัจจัยต่างประเทศเรื่องของสงครามการค้า การก่อการร้าย ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันตลอดช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
“ความรุนแรงของไวรัสโคโรนาอยู่ที่ระยะเวลา ข่าวดีที่จะช่วยคลายกังวล คือจำนวนผู้ป่วยชะลอตัว จำนวนผู้เสียชีวิตนิ่งหรือลดลง อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยลดลงหรือตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มนิ่งในระยะ 1 สัปดาห์ไม่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นสัญญาณการปรับขึ้นของตลาดหุ้นได้ แต่ตอนนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์”นายประภาส กล่าว
อย่างไรก็ตามหากดัชนีหลุด 1,500 จุด สำหรับนักลงทุนที่ใจกล้า สำหรับการลงทุนระยะกลางและระยะยาวก็เป็นโอกาสลงทุนที่ดี เพราะไม่มีใครประเมินได้ว่าหุ้นจะลงไปต่ำสุดเท่าไร แต่หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานระดับดัชนีดังกล่าวก็น่าสนใจ พี/อี 15 เท่า ต่ำในรอบ 5-6 ปี
พร้อมกันนี้ประเมินว่าหลังจากทางการจีนสั่งห้ามพลเมืองเดินทางออกนอกประเทศ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยในช่วงไตรมาสแรกจะลดลงกว่าครึ่ง จากเดิมมีนักท่องเที่ยวจีนเฉลี่ยประมาณ 9 แสนคนต่อเดือน ก็ลดลงเหลือ 5 แสนคนต่อเดือน โดยนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็นสัดส่วน 26% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวไทยทั้งหมดกว่า 40 ล้านคนต่อปี
นายประภาส กล่าวว่า หากการแพร่ระบาดลากยาว 3-6 เดือน คาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายไปประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งหากคิดค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนประมาณ 5 หมื่นบาท จะทำให้เม็ดเงินจากกิจกรรมท่องเที่ยวหายไปประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งกระทบประมาณ 1% ของจีดีพี ทำให้ปี 2563 นี้ GDP อาจเติบโตต่ำกว่า 2% เนื่องจาการท่องเที่ยวถือเป็นหัวใจสำคัญ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการท่องเที่ยวไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งปีหลังและจำนวนนักท่องเที่ยวจีนอาจเพิ่มขึ้นหลังจากถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
“กรณีหุ้น AOT (การท่าอากาศยานไทย) ในปีนี้ จากเดิมประเมินว่ากำไรจะเติบโต 10% แต่พอมีไวรัสโคโรนาซึ่งกระทบจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงในระยะ 2-3 เดือนและหลังจากนั้นน่าจะฟื้นตัว ซึ่งคาดว่ากระทบกำไร AOT ประมาณ 10% ทำให้ปีนี้กำไรจึงไม่น่าจะเติบโต”นายประภาส กล่าว
สาหรับภาพรวมศรษฐกิจโลกและไทยเชื่อว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นจากปีที่ผ่านมา แม้ในช่วงแรกอาจได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา โดยคาดว่า SET Index ในปีนี้ จะแกว่งตัวในกรอบ 1,500 – 1,750 จุด พี/อี 15 – 17.5 เท่า ภายใต้ประมาณการณ์การเติบโตของ EPS ประมาณ 10% โดยธุรกิจที่ให้ความสนใจว่าปี 2563-2564 จะเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อเนื่อง และสามารถประมาณการกำไรได้ง่าย คือ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มเงินทุนฯ และกลุ่มขนส่ง-ทางอากาศ
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะอยู่ระดับต่ำต่อเนื่องถึงปี 2563 และคาดว่าการประชุมกนง.วันที่ 5 ก.พ.นี้ อาจเห็นดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง 0.25% จากปัจจุบันที่ 1.25% และยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก 1 ครั้ง เนื่องจากปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งกระทบส่งออก ในขณะที่งบประมาณประจำปีล่าช้าออกไป โดยมองค่าเงินบาทปีนี้แกว่งในกรอบ 29-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายประภาส กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยหากดอกเบี้ยลดลง 0.25% จะทำให้เป้าหมาย SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 70-80 จุด แต่อย่างไรก็ตาม หากประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนถูกปรับลดลง 4% ก็จะหักล้างผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.25% เช่นกัน
“ปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ SET Index เป็นขาขึ้นได้ ส่วนหนึ่งเพราะปี 2562 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลประกอบการที่ออกมาไม่ดีนัก บวกกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้เชื่อว่าเม็ดเงินจากการเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องทั่วโลก จะโยกมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย” นายประภาส กล่าว
สำหรับเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติในปีนี้คงจะคาดหวังไม่ได้มาก เนื่องจากกำไรบริษัทจดทะเบียนไม่ได้โตมาก และราคาหุ้นถือว่าไม่ถูก ขณะเดียวกันเงินบาทน่าจะอ่อนในไตรมาสแรก แต่เชื่อว่าหากนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกคงไม่มาก เนื่องจากกำไรบริษัทจดทะเบียนยังโต แม้จะไม่มากและน่าจะทำสถิติใหม่จากปี 2562 คาดว่าจะมีกำไร 9.11 แสนล้านบาท