HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 200 จุด สหรัฐฯถล่มตะวันออกกลาง อิหร่านขู่ตอบโต้ นักวิเคราะห์มองภาพรวมตลาด 6 ม.ค. ได้รับผลกระทบ จากความกังวลตะวันออกกลางระอุ แต่กลุ่มพลังงาน น้ำมันและโรงไฟฟ้า ช่วยพยุงตลาด บล.ไทยพาณิชย์เชียร์ 5 หุ้นเด่น IVL ,TOP ,TCAP ,BBL , BCH บล.ทิสโก้แนะซื้อ SPRC พลิกมีกำไร ปันผล 5% เพิ่มราคาเป้าหมาย TOP เป็น 80 บาท บล.หยวนต้าให้สะสม PTT
สถานการณ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากที่สหรัฐปลิดชีพ นายพลคนสำคัญของอิหร่าน “โซเลมานี” รวมทั้งผู้นำกองทัพของอิรัก ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่อิหร่านได้ชักธงรบสีเลือด ซึ่งอิหร่านถือเป็นธงศักดิ์สิทธิ์ เป็นการประกาศลั่นว่าพร้อมประกาศสงครามกับสหรัฐ
ความตึงเครียดดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ปิดตลาดร่วง 200 จุด
สำหรับตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 ม.ค.นี้ นักวิเคราะห์คาดว่าจะได้รับผลกระทบนี้ด้วย จากความกังวลความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากการโต้ตอบของอิหร่านและอิรัก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 1-2 % หรือประมาณ 20 จุด
นายสุโชติ ถิระวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ( ประเทศไทย ) มองว่า ช่วงเปิดตลาด SET ปรับตัวลงได้ทันที ราว 15-16 จุด แต่ตลาดจะได้หุ้นกลุ่มพลังงาน น้ำมัน และไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าตลาดรวมสูง มาช่วยหนุนตลาดรวม ทำให้ตลาดฟื้นตัวได้ หรือตกไม่แรง
สำหรับหุ้นที่ยังได้รับผลกระทบ เป็นหุ้นที่ผูกกับเศรษฐกิจโลก เช่นกลุ่มปิโตรเคมี , ส่งออก และหุ้นที่ส่งผลดีคือ หุ้นปันผล หุ้นโรงไฟฟ้าและพลังงานน้ำมัน
นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) การเปิดศึกของสหรัฐกับอิหร่าน เชื่อว่าไม่ส่งผลรุนแรงและจบได้เร็ว โดยคิดว่าตลาดรับข่าวไปตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งการกังวลเพิ่มขึ้นหลังจากที่อิหร่านชักธงเลือด ทำให้ตลาดหุ้นไทยตกใจ เป็นความกังวลช่วงสั้นๆ เท่านั้น เป็นจังหวะเก็บหุ้นพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นปตท. (PTT) ที่ผ่านมาราคาปรับตัวต่ำ และช่วงนี้ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น
ด้านบล.ไทยพาณิชย์ถือว่าปี 2563 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา การก้าวเข้าสู่ยุค 5G รวมถึงการปฎิรูปตลาดการเงินของจีนผ่านการเจรจาทางการค้าในระยะต่อไป
ส่วนวัฎจักรเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1 อยู่ในช่วงหดตัวตอนปลาย เพื่อที่จะเริ่มขยายตัวในไตรมาส 2 และ 3 ก่อนเข้าสู่ภาวะปกติในปลายปี ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกเท่านั้น กลยุทธ์การลงทุนจึงซื้อหุ้นเติบโต โดยเฉพาะไตรมาส 1 เพิ่มน้ำหนัก การลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมี ,พลังงาน,ธนาคาร,อิเล็กทรอนิกส์และการแพทย์
“ไตรมาส 1 จงกล้าที่จะเสี่ยงแนะนำ 5 หุ้นเด่นได้แก่ IVL ,TOP ,TCAP ,BBL และ BCH “บล.ไทยพาณิชย์ระบุ
ตลาดจะกลับมาสนใจ IVL มากขึ้นในปี 2563 เนื่องจากกำไรจากการดำเนินงานยังคงเติบโตจากการซื้อสินทรัพย์ต่อเนื่อง และการผลิตสูงขึ้น ขณะที่ราคาดูไม่แพง คือ P/BV ปี 2563 ที่ 1.2 เท่า และยังมีอัตราผลตอบแทนปันผลปีละมากกว่า 4% ส่วน TOP นอกจากปริมาณการกลั่นที่สูงขึ้นแล้วค่าการกลั่นก็ดีขึ้น รวมถึงต้นทุนการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้และกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจากธุรกิจโรงไฟฟ้าจะช่วยสนับสนุนกำไรในปี 2563
ส่วน TCAP ปันผลครึ่งหลังของปี 2563 สูงถึง 10% คาดปีนี้แจก 6.4% และราคาต่ำเกินไป ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการเงินทุนที่ได้จากการขายธนาคารธนชาตและการผนึกพลังจากการรวมกิจการของธนาคารธนชาตและธนาคารทหารไทย สำหรับ BBL เป็นหุ้นวัฎจักรที่น่าสนใจสุดในกลุ่ม มีแนวโน้มตั้งสำรองลดลง คาดจ่ายเงินปันผลได้เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นต่ำมี P/BV เพียง 0.7 เท่า ถือว่าต่ำสุดในรอบ 4 ปี และ BCH กำไรจาะเร่งตัวขึ้นสู่ระดับโต 15% และยังมีโอกาสเพิ่มจากการปรับขึ้นค่าเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคม
สำหรับเป้าหมายดัชนีหุ้นในปี 2563 คาดจะแกว่งตัวในกรอบ 1,600-1,800 จุด คาดกำไรต่อหุ้น(EPS) ที่ 103 บาท เพิ่มขึ้น 12.5%จากปี 2562 ที่ผ่าน กลุ่มที่มีกำไรโตได้แก่ ปิโตรเคมี ขนส่งและพลังงาน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงต้องจับตาคือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ในจีนและทิศทางของเงินบาท
บล.ทิสโก้มองหุ้นพลังงานยังมีความหวัง แต่การฟื้นตัวไม่ทั้งกลุ่ม แนะนำเลือกลงทุนรายตัว เช่น SPRC แนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 12.90 บาท และปรับคำแนะนำของ TOP ขึ้นจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” จากผลประกอบการที่ฟื้นตัวและปรับมูลค่าที่เหมาะสมขึ้นเป็น 80 บาท จากเดิมที่ 66 บาท คาดราคาน้ำมันดิบคงที่, การเริ่มใช้ IMO ใหม่มีผลดีต่อโรงกลั่น และตลาดเคมีที่ต่ำสุดแล้ว
ผลประกอบการของ SPRC จะเติบโตโดดเด่นกว่าคู่แข่ง สมควรซื้อขายในราคาที่เกิน 1.2 เท่าของ P/BV และคาดว่าจะกลับมาจ่ายเงินปันผลในผลตอบแทนที่ระดับ 5% ผลการดำเนินงานพลิกกลับมาเป็นกำไร อัตราการผลิตจะเพิ่มขึ้นจาก 87% เป็น 99% บริษัทมีมุมมองในเชิงรับต่อ IMO และมีการลงทุนเพิ่มที่จำกัด แต่ปัจจัยบวกที่ได้จากมาตรการ IMO ใหม่จะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินงานในอนาคต การกลั่นขั้นกลางของ SPRC อยู่ที่ 40% ในขณะที่ HSFO อยู่ที่เพียง 10% เราคาดว่า GRM จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.1 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีก่อน เป็น 4.7 ดอลลาร์ในปีนี้
ส่วนกลุ่มพลังงานถูกปรับประมาณการลง -1%ถึง -33% และมูลค่าที่เหมาะสมของกลุ่มลง เนื่องจากใช้สมมติฐานราคาใหม่ และค่าการกลั่นใหม่ โดยยังอิง SOTP และใช้ DCF, PBV และ EV/EBITDA ในการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม โดยมีความเสี่ยงคือ ราคาผลิตภัณฑ์ที่ผันผวน, อัตราการผลิตที่ต่ำ และการปิดปรับปรุงนอกกำหนดการ
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีก็แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SPRC ราคาเป้าหมาย 12.20 บาท/หุ้น
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่ม Global Play คือพลังงานและปิโตรเคมี เนื่องจากได้แรงหนุนโดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความคืบหน้าในการเซ็นสัญญาการค้าเฟสแรกระหว่างจีนกับสหรัฐฯในวันที่ 15 ม.ค. PTT เป็นหุ้นหลักในกลุ่มพลังงานที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/2562คาดเติบโตทั้งจากระยะเดียวกันปีก่อนและไตรมาส 3 ขณะที่กำไรสุทธิจะได้แรงหนุนจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทแข็งค่า รวมทั้ง Valuation ไม่แพง ที่ระดับ P/E 2563 ราว 12.8 เท่า และให้อัตราผลตอบแทนปันผล 3.7%