HoonSmart.com>>บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์เผยตลาดหุ้นสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ยังมีแรงขายหุ้นที่คาดว่ากำไรชะลอตัวลง เห็นได้จากแรงทิ้งปิโตรเคมี แนะนำให้ซื้อหุ้นโรงพยาบาลราชธานี เป้าหมายกลางปีหน้า 30.50 บาท เด่นสุดในกลุ่ม ราคายังมีโอกาสปรับตัวขึ้น รับกำไรครึ่งปีหลังสดใส ส่วนการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานระวังความผันผวนหลังจากราคาขึ้นมามาก และทองคำยังน่าสนใจ
บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) มีมุมมองตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ (28 ต.ค.-1 ต.ค.2562)ให้น้ำหนักเท่ากับปกติ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในต่างประเทศจะดีขึ้น แต่นักลงทุนกำลังให้น้ำหนักการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/62 เป็นหลัก โดยหุ้นปิโตรเคมีถูกแรงขายอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มกำไรชะลอตัวลง
การลงทุนในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ บล.ไทยพาณิชย์เลือกแนะนำหุ้นบริษัท โรงพยาบาลราชธานี (RJH) น่าสนใจที่สุด สำหรับกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีกำไรโต แต่ราคาต่ำ แม้ว่าราคาปรับขึ้น 38.4% นับตั้งแต่ต้นปี สวนทางดัชนีกลุ่มการแพทย์ที่ลดลง 9.2% แต่ราคายังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก จากผลงานในครึ่งปีหลังสดใส และการขยายเครือข่ายโรงพยาบาล เพื่อผลักดันการเติบโตเพิ่มขึ้นในระยะยาว
RJH เป็นโรงพยาบาลเอกชนรายแรกและรายใหญ่ที่สุดในจ.อยุธยา ซึ่งมีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งที่มีคู่แข่งน้อยรายและยังเป็นโรงพยาบาลกลุ่มสีเขียวที่กรมการค้าภายในประกาศคิดค่ารักษาไม่แพง จึงมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องตามการขยายตัวของประชากรและการเข้ามารักษาโรคซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น
“ฝ่ายวิจัยคาดว่า ไตรมาส 3/62 RJH จะมีกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท เติบโต 9.5% และไตรมาส 4 คาดกำไรโตแกร่ง โดยรวมคาดว่าครึ่งปีหลังยังเติบโตสดใส จะช่วยหนุนให้ปี 2562 มีกำไรปกติเติบโต 23.4% เด่นสุดในกลุ่มและยังโตต่อ 12.7% ในปี 2563 ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายด้วย P/E ปีนี้ที่ 24.6 เท่า และ 21.8 เท่าในปีหน้า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 32.1 เท่า และ 27.8 เท่าตามลำดับ ประเมินราคาเป้าหมายกลางปี 2563 ที่หุ้นละ 30.50 บาท และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปีนี้ หุ้นละ 0.84 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน3.2%สูงสุดในกลุ่มโรงพยาบาล
ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์(REITs) กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน(IFF) ยังคงแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน จากอัตราผลตอบแทนของเงินปันผลที่ยังน่าพอใจ แต่คาดว่าจะเห็นความผันผวนมากขึ้น หลังจากราคาปรับตัวขึ้นมาพอสมควร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรฟื้นตัว
นอกจากนี้ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อทองคำ ราคาบริเวณ 1,450-1,500 เหรียญเป็นช่วงราคาที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน
สำหรับการลงทุนในสัปดาห์ที่ผ่านมา(21-24ต.ค.) ตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศทรงตัว ตลาดหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1% แต่ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลง แม้มีปัจจัยบวกจากมาตรการ”ชิม ชอป ใช้” ระยะที่สอง และมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์แล้วก็ตาม เนื่องจากมีแรงกดดันจากผลประกอบการของกลุ่มธนาคารและค่าเงินบาทแข็งค่า ขณะที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นสัปดาห์แรกในรอบ 13 สัปดาห์ แม้จะเพียงเล็กน้อยที่ 35 ล้านบาท
ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้นเหนือ 60 ดอลลาร์สหรัฐ บวก 4.26% จากสัปดาห์ที่ผ่านมา หลัง EIA เผยสต็อกน้ำมันสหรัฐลดลงสวนทางกับที่ตลาดคาดและยังมีความคาดหวังว่ากลุ่มโอเปกจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมเดือนธ.ค.นี้