คลุกวงในหุ้น : มหาเศรษฐีหุ้น KTC

สุนันท์ ศรีจันทรา

ความสำเร็จของ “มงคล ประกิจชัยวัฒนา”  นักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่ม(วีไอ)  ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง  บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC  จะเป็นตำนานที่เล่าขานกันอีกนาน ในฐานะมหาเศรษฐีหนุ่มที่เก็บเกี่ยวความร่ำรวยจากตลาดหุ้น

และการก้าวขึ้นมาติดอันดับมหาเศรษฐีของวีไอหนุ่มวัย 39 ปีรายนี้  เกิดจากการเลือกหุ้นถูกเพียงตัวเดียวเท่านั้น

นายมงคลอเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่เรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 ใช้วงเงินลงทุนของบิดาและมารดา  แต่ช่วงแรกไม่ประสบความสำเร็จ  จนเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา จึงเริ่มลงทุนถูกทาง  สามารถเก็บเกี่ยวกำไรได้เป็นกอบเป็นกำจากเงินลงทุนเพียงประมาณ 10 ล้านบาท  กลายเป็นพอร์ตที่พองโต วงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท

สุดยอดของความสำเร็จของ นายมงคล เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากทุ่มน้ำหนักเข้าไปซื้อหุ้น KTC

ไม่มีข้อมูลว่า นายมงคล ย่องเข้าไปเก็บหุ้น KTC ตั้งแต่เมื่อไหร่   ราคาระดับใดบ้าง  เพราะปรากฏชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นครั้งแรก  เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2556  มีหุ้นถือในมือแล้วจำนวน 31,593,200 หุ้น  หรือถือในสัดส่วน 12.25% ของทุนจดทะเบียน และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง  รองจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTB

สิ้นปี 2555  หุ้น KTC ปิดที่ 31 บาท  สิ้นปี 2556  ปิดที่ 29.75 บาท    โดยนายมงคล  คงทยอยเก็บหุ้น ตั้งแต่ต้นปี 2555  ส่วนต้นทุนเฉลี่ยอาจอยู่แถว 30 บาท ซึ่งหมายถึงในช่วงปีแรกที่ทุ่มเงินใส่หุ้นตัวนี้  ไม่ได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ  แต่ยังถือต่อ  และเก็บสะสมเพิ่มอีกด้วย

ตามทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 27 เมษายน 2561   นายมงคลถือหุ้น KTC จำนวนทั้งสิ้น 43,001,008 หุ้น หรือถือในสัดส่วน 16.68% ของทุนจดทะเบียน

แม้ในบางช่วง  จะขายหุ้น KTC ออก  แต่ก็ซื้อคืนมา  จนดำรงฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

ถ้าจะคำนวณถึงความมั่นคั่ง ที่นายมงคล ตักตวงจาก KTC   น่าจะคิดจากหุ้นที่ถือและปรากฏต่อสาธารณชนตามทะเบียนผู้ถือหุ้นครั้งแรกจำนวน 31,593,200 หุ้น  เมื่อต้นปี 2556   เพราะมีต้นทุนต่ำและถือมายาวนานที่สุด กำไรเป็นกอบเป็นกำ   ส่วนหุ้นที่เพิ่มเติมภายหลัง  มีต้นทุนที่สูงกว่า และมีการซื้อมาขายไป

สมมุติว่า  หุ้นที่ซื้อระหว่างต้นปี 2555 ถึงต้นปี 2556  มีต้นทุนเฉลี่ย 30 บาท  หุ้นจำนวน 31,593,200 บาท ใช้เงินลงทุนประมาณ 950 ล้านบาท

จากเงินลงทุนประมาณ 950 ล้านบาท ปัจจุบันเพิ่มเป็นประมาณ 10,970 ล้านบาท  โดยยังไม่นับเงินปันผลปีละนับ 100 ล้านบาทหลายปีติดต่อ

กำไรที่ได้จากการซื้อหุ้น KTC ล็อตแรก เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน  พุ่งขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาท  แต่กำไรที่น่าตื่นใจ เพิ่งเกิดขึ้นในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา  เพราะหุ้น KTC  กระโดดจากแถว 90 บาทเศษ พรวดขึ้นมาปิดล่าสุดที่ 348 บาท เมื่อวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561

นายมงคลเริ่มต้นการลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านบาท เท่ากับดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากร   ตำนานนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มคนแรก   แต่มูลค่าความมั่งคั่งที่ตักตวงจากตลาด  ตัวเลขน่าจะแซงหน้าดร.นิเวศน์ไปแล้ว โดยใช้เวลาที่สั้นกว่า

แม้นายมงคลจะลงทุนในหุ้นหลายตัว  แต่KTCเป็นหุ้นที่นายมงคลเทเกือบหมดหน้าตัก  และถือไว้โดยไม่สะทกสะท้าน  แม้บางช่วง  ราคาหุ้นจะผันผวน    ไม่หวั่นไหวที่จะเก็บยาวๆ   แม้ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นอย่าร้อนแรง   สามารถทำกำไรได้นับร้อยเปอร์เซนต์ก็ตาม

วีไอหนุ่มคนนี้   พกความมั่นใจมาเต็มที่สำหรับ KTC

มีคำถามว่า  ถ้า KTC ไม่มีนายระเฑียร  ศรีมงคล  เข้ามารั้งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ทำหน้าที่กัปตันใหญ่   ผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนแห่งนี้  จะเติบโตอย่างต่อเนื่องหรือไม่

และถ้าไม่เป็นเพราะผลกำไรที่เติบโตสูงติดต่อกันหลายปี  ถ้าไม่เป็นเพราะอัตราเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี  ราคาหุ้น KTC คงไม่มีโอกาสทะลุขึ้นมายืนเหนือ 300 บาท

นายระเฑียร จึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้นายมงคล กลายเป็นมหาเศรษฐีจากหุ้น KTC

แต่จะถือเป็นความ “เฮง” ของนายมงคลที่รวยเพราะ KTC ไม่ได้     เพราะถ้าไม่เก่งในการทำการบ้าน   จนเลือกหุ้นได้ถูกตัว    ถ้าไม่มั่นใจที่จะถือยาว ๆ    โดยเทขายทำกำไรเสียก่อน  คงสูญเสียโอกาสกำไรอย่างเหนี่ยวจาก KTC ไปแล้ว

ปี 2554 หรือประมาณ 7 ปีก่อน  หุ้น KTC เคลื่อนไหวแถว 10 บาท เท่านั้น   แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เมิน  ซึ่งถ้ามีใครทำนายหรือคาดการณ์อนาคตได้   ช้อนซื้อไว้  วันนี้คงจะมีโอกาสเป็นมหาเศรษฐีเหมือน “มงคล  ประกิจชัยวัฒนา”

KTC เป็นปรากฏการณ์ที่บอกให้รู้ว่า  หุ้นที่พร้อมจะทำให้นักลงทุนถูกรางวัลใหญ่  กลายเป็นมหาเศรษฐียังมีอยู่  และในทุกสถานการณ์

เพียงแต่ใครจะตาถึง  ทำการบ้านดี  และเสาะแสวงหาเจอเท่านั้น