HoonSmart.com>>บล.เอเชียพลัส ค้นหาหุ้นดีราคาถูก พลังงานแนะ PTT-PTTEP อสังหาริมทรัพย์ SPALI-LH รับเหมาฯ เน้นเสาเข็ม PYLON-SEAFCO และ BJCHI คาดเทิร์นอะราวด์ ค้าปลีก CPALL ให้เป้าปีหน้า 100 บาท BJC ส่วนหุ้นที่ช่วยเพิ่มคุณภาพพอร์ต แนะ PLANB-JWD ส่วนแบงก์ BBL รอซื้อหลังกำไรไตรมาส 3 ออกมา
บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส (ASP) จัดงานนักวิเคราะห์พบสื่อไตรมาส 4/2562 หัวข้อ “ของถูกและดี ยังมีในตลาดทุน” โดย นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มไตรมาส 4 ดัชนีจะมีโอกาสแกว่งตัวขึ้น ยังคงเป้าหมายปีนี้ที่ระดับ 1,655 จุด สูงกว่าปัจจุบัน 1-2% กลยุทธ์เน้นหุ้นพื้นฐานดี แต่ราคาต่ำกว่าตลาด โดยหุ้นที่จ่ายปันผลสูง แนะนำ PTTEP, LH และ SPALI ส่วนหุ้นแบงก์ คือ BBL ควรหาจังหวะเข้าซื้อหลังงบไตรมาส 3 ออกมาและหุ้นที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดี เช่น JWD และ PLANB
แนวโน้มตลาดที่ดูดีขึ้น มาจากพื้นฐานในประเทศ คาดกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ส่วนไตรมาส 3 คาดว่าจะมีกำไร 2.5 แสนล้านบาท เพราะไม่มีขาดทุนสต็อกในกลุ่มพลังงาน ไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของหลายธุรกิจ รวมทั้งปีคาดว่าจะมีกำไร 9.9 แสนล้านบาท รวมถึงเชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนพ.ย.นี้ ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนดัชนีหุ้นกับตราสารหนี้มีมากขึ้น เป็นแรงหนุนต่อ Earning Yield Gap ขึ้นมาที่ 4.68% สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ 4.28% และประเทศไทยอาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตประเทศ ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงน่าสนใจและมีโอกาสเห็นเงินทุนโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น แต่ยังคงเป็นเงินทุนในประเทศ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนยังคงยืดเยื้อต่อไป
“กำไรบจ.ในปีนี้ เดิมเคยคาดไว้ที่ 1 ล้านบาท ตอนนี้ลดลง 2.7% มาเหลือ 9.9 แสนล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดไว้ที่ 1.05 ล้านล้านบาท แนวรับระดับ 1,600 และ 1,590 จุด เป็นจุดรับที่ดี ส่วนกรอบบนจำกัดที่แนวต้าน 1,660-1,680” นายเทิดศักดิ์ กล่าว
สำหรับการเลือกหุ้นในกลุ่มพลังงาน น.ส. นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส คาดว่าราคาน้ำมันดิบแกว่งตัวแคบๆ ขึ้นมากไม่ได้เพราะกลุ่มโอเปกมีการแทรกแซงเพิ่มกำลังผลิต คาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 52.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และปี 2563 เฉลี่ย 65 ดอลลาร์ โดยให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงกลั่น จากค่ากลั่นปรับตัวขึ้นจาก 3 ดอลลาร์ในครึ่งปีแรกมาอยู่ 6 ดอลลาร์ในไตรมาส 3 ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีที่ย่ำแย่มากยังไม่เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น
“หุ้นพลังงาน แนะนำซื้อ PTT และ PTTEP เพราะราคาลงมาลึกมาก จนมูลค่าหุ้นน่าสนใจและมีปันผลที่ดี” น.ส. นลินรัตน์กล่าว
น.ส.นวลพรรณ น้อยรัชชุกร ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกับหุ้นหลักอื่นๆ ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ สวนทางกำไรที่คาดว่าจะดีขึ้นไตรมาส 3 รวมบริษัท 16 แห่ง กำไรไม่น่าจะต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท และไตรมาส 4 มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมียอดพรีเซล 312,734 ล้านบาท และเมื่อสิ้นไตรมาส 2 มีงานในมือรอโอน (Backlog) สูงถึง 3.3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมของบริษัทเอง 158,545 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมที่เกิดจากการร่วมทุน 131,977 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 40,715 ล้านบาท ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ไปถึงปี 2566 และยังมีคอนโดมิเนียมหลายโครงการสร้างเสร็จในไตรมาส 4
“หลักการเลือกซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ต้องเน้นพื้นฐานดี ราคาลงมามากและผลตอบแทนปันผลมากกว่า 5% แนะนำหุ้น LH ราคาเป้าหมาย 12.30 บาท คาดว่ากำไรจะพีคในไตรมาส 4 เพราะมีกำไรพิเศษจากการสิทธิการเช่าโครงการทองหล่อ และเลือก SPALI ราคาหุ้นลงมามาก เทรดที่ P/E 6 เท่าเท่านั้น กำไรจะดีขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 ให้เป้าหมาย 23.20 บาท” น.ส.นวลพรรณกล่าว
สำหรับหุ้นรับเหมาก่อสร้าง นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า คาดว่าในช่วงไตรมาส 4 คงไม่มีโครงการรัฐขนาดใหญ่ออกมาประมูล มีเพียงการเซ็นสัญญา เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อย่างไรก็ตามบริษัทในกลุ่มนี้ 11 แห่ง มี Backlog สูงถึง 4.2 แสนล้านบาท รับรู้รายได้ปีละ 1.8-2 แสนล้านบาท การรันตีรายได้ไปข้างหน้าอีก 2 ปี โดยไม่มีประเด็นเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้นกระทบต้นทุน
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลายแห่งชนะการประมูลงานจากการเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึง 15-20% มากกว่าผลตอบแทนงานของรัฐที่เคยให้มาร์จิ้นต่ำประมาณ 5% จึงต้องจับตาผลกระทบว่าบริษัทไหนจะขาดทุนจากการได้งานมา
“ราคาหุ้นรับเหมาลงมามาก จึงให้น้ำหนักเท่ากับตลาด และงานในปีหน้า ส่วนใหญ่เป็นงานเสาเข็ม ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน แนะนำซื้อหุ้น PYLON มูลค่าเหมาะสม 7.80 บาท SEAFCO มูลค่า 11.30 บาท และงานรับเหมาในกลุ่มพลังงานก็น่าสนใจ หุ้น BJCHI ให้มูลค่า 3.45 บาท คาดว่ากำไรจะเทิร์นนอะราวด์ จากปีก่อนขาดทุน และปีหน้าจะโดดเด่นมาก มี Backlog สูงสุดในรอบ 4 ปี” นายประสิทธิ์กล่าว
ทางด้านหุ้นค้าปลีก นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส เลือกหุ้นเด่นได้แก่ CPALL ให้มูลค่าเหมาะสม 88 บาทในปีนี้ และเพิ่มเป็น 100 บาทในปี 2563 ส่วน BJC มูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 61 บาท
CPALL ได้มาตรการรัฐกระต้นการบริโภค ช่วยประคองรายได้ของสาขาเดิม รวมถึงการขยายธุรกิจร่วมกับธนาคารพาณิชย์ รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นโดดเด่น ส่วน BJC ธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะกลับมาเติบโต หลังมีคำสั่งซื้อกระป๋องจาก SABECO เข้ามาในครึ่งหลังของปีนี้และปี 2563
อ่านประกอบ
FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น หวังนโยบายรัฐหนุน