SCBSคาดบาทอ่อนอีก4%แนะลงทุนหุ้นโตเร็ว

SCBS คาดบอนด์ยิลด์สหรัฐปีนี้แตะ 3.25% ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 3-4% ทั้งปีอยู่ที่เฉลี่ย 32.5-33.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แนะลงทุนหุ้นโตเร็ว เลี่ยงลงทุนหุ้นปันผล-หุ้นพี/อีสูง-ทองคำ

นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) เปิดเผยว่า คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี จะเพิ่มเป็น 3.25% ในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบัน 3% ซึ่งจะทำให้ค่าเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทยผันผวน โดยค่าเงินบาทแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกอย่างน้อย 3-4% เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ จากตอนนี้ที่อยู่ที่ 32.08 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่ง SCBS ประเมินว่าทั้งปีค่าเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ที่ 32.5-33.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงกว่านี้อีก หากไทยต้องนำเข้าสินค้าและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยน้ำมันดิบเบรนด์ใกล้แตะ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว จากก่อนหน้านี้ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้ไทยขาดดุลการค้า

“ในระยะต่อไปเราคงเกินดุลการค้าน้อยลงหรือขาดดุลการค้าในบางเดือน แต่คงไม่ถึงขั้นขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามามากอยู่ แต่นั่นก็ทำให้เกิดสถานการณ์เงินทุนไหลออก แต่ไม่ถือว่าเสี่ยงอะไร เพราะทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทของเราจะอ่อนค่าช้ากว่าคนอื่น และก็มีความเป็นไปได้ที่เราจะเห็นเฟดเพิ่มดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้ หากราคาน้ำมันยังแพงต่อเนื่อง” นายอิสระกล่าว

นายอิสระ ยังระบุว่า ผลจากการที่บอนด์ยิลด์สหรัฐเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ 3% ในขณะนี้ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยต่อเนื่อง โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ 4-5% ส่วนเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้นนั้น ในช่วงที่ผ่านมาต่างชาติขายหุ้นสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่ดัชนีหุ้นยังยืนอยู่ได้ เพราะเงินของนักลงทุนสถาบันที่ได้มาจากเงิน LTF และ RMF

สำหรับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้ว่าจะมีผลกระทบบ้าง แต่จะทุกอย่างจะจบลงด้วยการเจรจา ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตดี แต่เริ่มเห็นที่แผ่วลงจากเศรษฐกิจสหรัฐที่เริ่มชะลอ เศรษฐกิจยุโรปเห็นสัญญาณอ่อนแรง ส่วนเศรษฐญี่ปุ่นชะลอในช่วงสั้นและจะปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจจีนยังเติบโตต่อเนื่องและอัตราการเติบโตของจีนในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 6.5% ยังมีช่องว่างให้ทางการจีนปฏิรูประบบสถาบันการเงิน โดยเฉพาะสถาบันการเงินเงา

นายอิสระ กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้กว่า 4% แต่จะพบว่าสัดส่วนการบริโภคในประเทศต่อจีพีดีลดลงต่อเนื่องในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเติบโตของการบริโภคชะลอตัว ดังนั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจภายนอก กำลังซื้อในประเทศจะไม่เพียงพอพยุงให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง และการที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันที่มีขายสุทธิเกือบ 1 แสนล้านบาทนั้น เพราะนักลงทุนยังไม่มั่นใจเศรษฐกิจไทย

“ตอนนี้ต่างชาติยังไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นจริงหรือไม่ การเมืองจะเป็นไปตามโรดแมปหรือเปล่า และการบริโภคในประเทศยังเติบโตในอัตราที่ต่ำ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นและกดให้พี/อีลดลง การเมืองและการเลือกตั้งชัดเจน และการบริโภคในประเทศเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% เมื่อถึงตอนนั้นนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยเอง”นายอิสระกล่าว

นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย SCBS กล่าวว่า แม้ว่าบอนด์ยิลด์สหรัฐได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3% แล้ว แต่การลงทุนในตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดีและน่าลงทุนกว่าบอนด์ โดยในระยะสั้นตลาดหุ้นจะยังมีความผันผวนสูงก่อนจะเริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนจากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น ส่วนการลงทุนในช่วงนี้ต้องกระจายความเสี่ยงของพอร์ต และเน้นลงทุนในที่มีอัตราเติบโตสูง (Growth stock) เพราะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจที่โดยรวม

“SET ยังขึ้นได้ในภาวะดอกเบี้ยเริ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยต้องโตดีด้วย โดยหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นพวก Growth stock ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น คือ หุ้นปันผล หุ้น Defensive stock กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่มีค่าพี/อีสูงๆ รวมถึงการลงทุนในทองคำด้วย ส่วนตลาดหุ้นที่น่าลงทุนยังคงเป็นประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น จีนและเกาหลีใต้ที่ราคาหุ้นยังถูกเมื่อเทียบกับพี/อี ส่วนตลาดหุ้นไทยถือว่าอยู่ในระดับกลางๆไม่ถูกและไม่แพงเกินไป”นายพรเทพกล่าว

นายพรเทพ กล่าวถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 70-71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ราคาน้ำมันจะชะลอตัวลง เพราะจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นมาในช่วงครึ่งปีหลัง และทำให้ซัพพลายมากกว่าดีมานด์

คาดการณ์ราคาน้ำมัน