HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร สยามโกลบอลเฮ้าส์ เป็น “A” จาก “A-” สะท้อนความสามารถในการทำกำไร ชำระหนี้ดีขึ้น คุมต้นทุน ลดลงทุนขยายสาขา อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเหนือ 20% เชื่อทำกำไรที่น่าพอใจได้ปี 2562-2564
บริษัท ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) เป็นระดับ “A” จากเดิมที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “คงที่”
อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากการเพิ่มสัดส่วนกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย กลยุทธ์หลักคือจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่หลากหลายแก่ลูกค้ารวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และสินค้าตกแต่งบ้าน ตลอดจนการขยายสาขาร้านค้าในรูปแบบคลังสินค้าในพื้นที่ต่างจังหวัด และการเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าจากร้านค้าปลีกแบบเก่ามาเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจ ช่วยสนับสนุนแผนการเปิดสาขาใหม่ปีละ 7 แห่งของบริษัท
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงจากการที่บริษัทมีวงจรเงินสดที่ค่อนข้างยาว รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน และฐานลูกค้าหลักที่อยู่ต่างจังหวัด ซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงราคาพืชผลทางการเกษตร
บริษัทฯมีวงจรเงินสดค่อนข้างยาวอยู่ที่ประมาณ 200 วัน มีสินค้าคงคลังที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายหนึ่ง บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ซึ่งรายงานว่ามีวงจรเงินสดติดลบ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทยังคงจัดการได้ บริษัทมีอัตราส่วนทุนหมุนเวียนที่ดี ประมาณ 1 เท่าและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีสาขาอยู่ในต่างจังหวัดทั้งหมด 61 แห่งกระจายตัวทั่วประเทศ และ 1 สาขาในประเทศกัมพูชา โดยประมาณ 40% ของจำนวนสาขาทั้งหมดตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สาขาจัดรูปแบบร้านค้าในแนวคลังสินค้าขนาดใหญ่ด้วยพื้นที่ขายเฉลี่ยต่อสาขาขนาด 20,000 ตารางเมตร (ตร.ม.)จำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับบ้านมากกว่า 100,000 รายการ รูปแบบร้านที่มีขนาดใหญ่ยังทำให้บริษัทประหยัดจากขนาดและต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงด้วย
ทริสฯเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจได้ในช่วงปี 2562-2564 อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 20.6-20.9% ในปี 2559-2561จากระดับ 15.0-16.7% ในปี 2556-2558 สาเหตุมาจากการปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ของบริษัทและราคาเหล็กที่สูงขึ้น โดยรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทและสินค้านำเข้า มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าสินค้าภายใต้ตราสินค้าอื่นในท้องตลาดมีสัดส่วนคิดเป็น 18% ของยอดจำหน่ายรวมขในปี 2561 เทียบกับ 12-14% ในระหว่างปี 2558-2560 ในขณะที่ยอดจำหน่ายเหล็กยังคงเป็นสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดขายรวม
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (รวมส่วนลดการค้าที่ได้รับจากเจ้าหนี้การค้า) ต่อยอดขายยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 13.5-14.5% ในปี 2559-2561 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 9-10% ในอนาคตบริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มรายได้จากสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเองต่อรายได้รวมให้เป็น 20% ภายใต้สมมติฐานของทริส คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 13-14% ในช่วงปี 2562-2564
บริษัทวางแผนจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 7 แห่งในปี 2562-2564 เทียบกับเพิ่มปีละ 7-9 สาขาต่อปีในปี 2559-2561 ดังนั้น เงินลงทุนจะลดลงเป็น 1,800 ล้านบาทต่อปี จาก 2,200-2,800 ล้านบาทต่อปี ในระหว่างปี 2559-2561 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ลดลงอยู่ที่ระดับ 40-45% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จาก 46.4% สิ้นปี 2561 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อดอกเบี้ยจ่าย ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 14-17 เท่าในช่วงปี 2562-2564
สมมติฐานกรณีพื้นฐานในช่วงปี 2562-2564 คาดว่ารายได้จะเติบโตประมาณ 6-9% และยอดขายจากสาขาเดิมจะเติบโตที่ประมาณ 0-2% ต่อปี อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 13-14% เนื่องจากราคาเหล็กที่ลดลและค่าใช้จ่ายส่วนทุนและเงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี