HoonSmart.com>>กลุ่มทิสโก้ แนะเลือกหุ้นธุรกิจเฮลธ์แคร์และกระจายความเสี่ยง ในระยะยาวมีโอกาสกำไร ตามแนวโน้มโลกผู้สูงอายุมากขึ้น หุ้นที่ปลอดภัยไม่ผันผวนไปตามเศรษฐกิจ บล.ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าดัชนีปีนี้แตะ 1,700-1,800 จุด เชื่อเริ่มฟื้นชัดปลายไตรมาส 2 กำไร บจ.โต 7%
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum ครั้งที่ 15 ในหัวข้อ”เจาะลึก Mega Trend เปลี่ยนโลก : เฮลธ์แคร์โอกาสสร้างกำไรต้านแรงผันผวน” ว่า ธุรกิจที่เกี่ยวกับเฮลธ์แคร์ มีแนวโน้มที่ดีและเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว แนวโน้มประชากรในโลกจะมีอายุยืนยาวมากขึ้น ซึ่งในประเทศไทย อีก 2 ปีข้างหน้าก็จะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ดังนั้นจึงมองว่า ความต้องการดูแลรักษาสุขภาพจึงมีความจำเป็นอย่างมาก และเป็นธุรกิจที่มีความปลอดภัย ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นเหล่านี้ จะต้องเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งจะสามารถสร้างผลกำไรที่ดีให้แก่นักลงทุน
นายไพบูลย์ กล่าวว่า หุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจเฮลธ์แคร์ในตลาดหุ้นไทย อาจจะมีไม่มากจะเป็นพวกหุ้นโรงพยาบาล หรือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ และหากจะลงทุนควรที่จะมีการกระจายความเสี่ยงถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากเลือกลงทุนเพียงบริษัทเดียวมีโอกาสผิดพลาดได้
ด้านนายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ และกลุ่มเทคโนโลยี ถือเป็นเมกะเทรนด์ที่น่าลงทุนที่สุดในช่วงนี้ เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้ประชากรมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวขึ้น บลจ.ทิสโก้ ได้เลือกลงทุนในหุ้นเกี่ยวกับ 2 ธุรกิจนี้ ผ่านกองทุนต่างประเทศ และออก 2 กองทุน คือ กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ ซึ่งมีนโยบายลงทุนในผ่านกองทุน CS (Lux) Global Digital Health Equity เน้นลงทุนในบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ หรือบริการทางการแพทย์ทั่วโลก และกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล เฮลธ์แค์ สตาร์ พลัส ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่มีศักยภาพสูงทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมเฮลท์แคร์ต่างประเทศ
นายสาห์รัช กล่าวว่า บริษัทที่กองทุนไปลงทุนเป็นบริษัทในต่างประเทศ ที่มีการลงทุนโดยนำเทคโนโลยี มาใช้ด้านการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่ใหญ่ แต่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีในอนาคต และเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นด้านเฮลธ์แคร์
“การลงทุนในเมกะเทรนด์มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เห็นได้จากราคาหุ้นของ Amazon และ Apple ซึ่งเป็นหุ้นที่อยู่ในเมกะเทรนด์ ได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 2,000% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นหากนักลงทุนสามารถประเมินอนาคตได้ถูกต้อง มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานพอ ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้”นายสาห์รัฐ กล่าว
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้มองว่ามี upside ที่จำกัด เพราะราคาหุ้นได้ตอบรับปัจจัยบวกไปมากแล้ว ทั้งธนาคารกลางสหรัฐ
(เฟด) ที่คาดว่าจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงสงครามการค้าสหรัฐและจีนที่ประเมินว่ามีแนวโน้มว่าจะตกลงกันได้ ขณะที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐ เข้าสู่ช่วงปลายวัฎจักรของการปรับตัวขึ้น และแนวโน้ม 3 ปีข้างหน้ามีโอกาสเศรษฐกิจจะเติบโตข้าลง ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนให้หาจังหวะที่ตลาดปรับขึ้น จึงทยอยขายทำกำไรออกมาก่อน เพื่อลดความเสี่ยง
ทาด้านบล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ตั้งเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีนี้แตะระดับ 1,700-1,800 จุด คาดจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนช่วงปลายไตรมาส 2 โดยเงินลงทุนจากต่างประเทศ น่าจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงปลายเดือน มี.ค.ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนผ่อนคลาย การเลือกตั้งในประเทศทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ
ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้จะเติบโตราว 7% โดยแนะนำลงทุนกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และกลุ่มค้าปลีก