“ยูนิเวนเจอร์” ตั้งเป้ากวาดรายได้หลักปี 62 แตะ 2.58 หมื่นล้านบาท ลุยเปิดโครงการใหม่กว่า 31 โครงการ มูลค่ากว่า 3.8 หมื่นล้านบาท รุกเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจ เพื่อเติบโตยั่งยืน
นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ (UV) เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ 2562 ( 1 ต.ค.2561 ถึง 30 ก.ย.2562) บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักไว้ที่ 25,800 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 83% ทั้งนี้มาจากโครงการแนวราบประมาณ 70% และมาจากโครงการแนวสูงประมาณ 13% รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและโรงแรมประมาณ 7% ธุรกิจอื่นๆ (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) ประมาณ 10%
“ปี 2562 บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวนกว่า 25 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 28,600 ล้านบาท และโครงการแนวสูงใหม่ จำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 9,600 ล้านบาท” นายวรวรรต กล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งตลอดทั้งภาพรวม เพื่อประสิทธิภาพและความพร้อมในการขับเคลื่อนองค์กร เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน (Towards Sustainable Growth) โดยเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตามกลยุทธ์หลัก 3 ปี ที่ให้ความสำคัญ (Core Strategy 2018 – 2020) ทั้ง 5 ส่วน ให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น การ “Optimization” ความหลากหลายที่บริษัทมี เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ล่าสุด ธุรกิจสังกะสีออกไซด์ มีการเติบโตถึง 30 % จากปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีที่สุด และขณะนี้มีกำลังการผลิต (capacity) เต็มจำนวน พร้อมกับวางแผนในการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น “Diversification” ไปที่โครงการรูปแบบใหม่ ๆ นอกเหนือจากบ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงทุนในการพัฒนาโครงการประเภทโรงแรม ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้ชื่อ Modena อีกทั้งยัง Diversified ต่อไปอีกในเรื่องของการทำ Service ต่าง ๆ นอกเหนือจากสินค้าเพื่อขายหรือเช่า เช่น การมีบริษัทมืออาชีพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ หรือจัดการอสังหาริมทรัพย์ การมี โบรคเกอร์ในการดูแลการปล่อยเช่าหรือการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการบริการที่ครอบคลุมทั้งในช่วงการเตรียมการ และระหว่างการก่อสร้างเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการมองทั้ง “Supply Chain” เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรและการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งวิเคราะห์และมองหาโอกาสที่ใช่ตลอดทั้งระยะทาง บนพื้นฐานสำคัญของ Entry Point และExit Point ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับ “Synergy” ธุรกิจที่ครอบคลุมในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น งานที่บริษัท ฟอร์เวิร์ด ซิสเต็ม และ บริษัท อะเฮดออล จำกัด (AHEADALL COMPANY LIMITED) ที่ขายงานระบบเข้าโครงการ รวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “Opportunistic Investment” การขับเคลื่อนโอกาส (Opportunity) และพร้อมที่จะรองรับโอกาสใหม่ๆ ที่เห็นเป็นรูปธรรม อาทิ การเข้าลงทุนใน บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ซึ่งเป็นธุรกิจบริหารโครงการ บริหารการก่อสร้าง รวมถึงออกแบบสถาปัตยกรรมโครงสร้าง โดยมีภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในเชิงของการรับรู้รายได้ ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ต่อปี
นายวรวรรต กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ประจำปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 20,994 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 16,812 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและโรงแรม 1,688 ล้านบาท ธุรกิจอื่น (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) 2,373 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 121 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 1,006 ล้านบาท
ในปีงบประมาณ 2561 รายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งในแนวราบและแนวสูงซึ่งอยู่ในธุรกิจการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 14,053 ล้านบาท โดยมาจากโครงการของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 38 โครงการ และรายได้จากโครงการแนวสูง 2,759 ล้านบาท จาก 8 โครงการ ของ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY
นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธ.ค.2561 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 7,000 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปี 2562 จำนวน 9,700 ล้านบาท (จากโครงการแนวราบ 7,000 และโครงการแนวสูง 2,700) หรือคิดเป็น 45% ของเป้ารายได้อสังหาริมทรัพย์เพื่อขายปี 2562 ที่ 21,400 ล้านบาท
ล่าสุด จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2562 ได้มีมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ UV และ GOLD อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติม ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท (UV 2,000 ล้านบาท และ GOLD 3,000 ล้านบาท)
“นอกจากการเติบโตในแง่ตัวเลขผลประกอบการ เรายังมุ่งหวังที่จะเพิ่มการบริหารงานให้แข็งแกร่ง พร้อมกับให้ความสำคัญในการจัดการในทุก ๆ ด้าน รวมถึงการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความโปร่งใส หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และความรับผิดชอบที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการยืนยันในคุณภาพจากหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง”นายวรวรรต กล่าว
ทั้งนี้ ในรอบบัญชีปี 2561 บริษัทปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างเคร่งครัด รวมถึงได้นำหลักการกำกับกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนปี 2560 (Corporate Governance Code : CG Code) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับธุรกิจและบริบทของกลุ่มบริษัทอย่างเหมาะสม โดยบริษัทได้ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงกฎบัตร นโยบาย จรรยาบรรณทางธุรกิจ ตลอดจนดำเนินการต่างๆ ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของ CG Code และหลักเกณฑ์ตามโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies : CGR) ส่งผลให้บริษัทได้รับผลการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2561 ในระดับ “ดีเลิศ” ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และได้รับผลการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 จำนวน 99คะแนน
นอกจากนี้ ล่าสุด บริษัทฯ ยังได้ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต โดยมีเป้าหมายยื่นขอการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตจากคณะกรรมการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต ให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนดต่อไป ซึ่งจากภาพรวมในการพัฒนาดังกล่าวทั้งหมด เชื่อมั่นว่า เราจะก้าวสู่ครบรอบ 40 ปีในการดำเนินธุรกิจ ในปี 2563 นี้ ด้วยความแข็งแกร่งและยั่งยืน