“ซี แอล เอส เอฯ” คาดเงินทุนต่างชาติไหลจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยปีนี้ หลังมองเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวหรืออาจจะไม่ปรับขึ้นเลย ด้านสงครามการค้ามีทิศทางเป็นบวก ขณะที่นักลงทุนจากจีนสนใจเข้ามาซื้อกิจการ หรือร่วมทุนในไทยมากขึ้น นโยบาย EEC เป็นปัจจัยหนุน
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) คาดว่า เงินทุนจากต่างประเทศ จะไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในปีนี้ ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย เนื่องจากคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้เพียง 1 ครั้งหรืออาจจะไม่ปรับเลยก็ได้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
นอกจากนี้มองว่าสงครามการค้าสหรัฐกับจีน การเจรจาน่าจะคลี่คลายเป็นไปในทิศทางที่ดี รวมถึงตลาดหุ้นเกิดใหม่ในปี 2561 ปรับตัวลงไปมาก จึงทำให้มีมูลค่าที่น่าสนใจ
“แรงขายของฝรั่งในตลาดหุ้นบ้านเราปีที่ผ่านมาออกมาเยอะ คิดว่าใกล้สะเด็ดน้ำ ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทในตลาดไทยก็ใช้ได้ ตอนนี้ทำให้ฝรั่งเริ่มกลับมามองหุ้นบิ๊กแคปที่มูลค่าลดลงไปมากแล้ว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มแบงก์ เพราะเขามองว่าการปล่อยสินเชื่อของแบงก์ยังมีการเติบโตได้ดี” กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) กล่าว
นายปริญญ์ กล่าวว่า ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสขึ้นไป ที่ระดับ 1,850 จุดได้ ซึ่งจะมีค่าพี/อี เรโช ประมาณ 14.8 เท่า เชื่อว่าหากมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามา จะทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นไปที่เป้าหมายดังกล่าวได้
ส่วนปัจจัยการเลือกตั้ง นายปริญญ์ กล่าวว่า กองทุนต่างประเทศไม่ได้ให้น้ำหนักว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงเวลาใดของปีนี้ แต่ที่ผ่านมาจะเป็นกองทุนในประเทศที่คาดหวังระยะเวลาการเลือกตั้งมากกว่า กองทุนต่างประเทศจะให้น้ำหนักในเรื่องของรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นว่าจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายบริหารประเทศได้ต่อเนื่องหรือไม่
นอกจากนี้ นายปริญญ์ กล่าวอีกว่า จากการได้พูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศ พบว่านักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของการซื้อกิจการหรือการร่วมทุน และการเข้ามาลงทุนโดยตรง เนื่องจากการผลักดันนโยบาย EEC ถือเป็นปัจจัยที่สร้างแรงจูงใจกับการลงทุน รวมถึงการที่ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง ทำให้สามารถปลดล็อค จากความกังวลด้านการเมืองได้
นักลงทุนจากจีนที่สนใจจะเข้ามาลงทุน ให้ความสนใจในธุรกิจพลังงานไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจด้านโครงการสาธารณูปโภค จะเห็นได้จากการที่มีบริษัทจากจีนที่เข้าร่วมกับกลุ่มซีพี เข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงธุรกิจโรงแรม และธุรกิจโรงพยาบาลก็ให้ความสนใจ
“เม็ดเงินจากจีน เข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะเมื่อเราดูแล้วฝั่งตะวันออกของจีน จะติดไต้หวันและญี่ป่น และเมื่อลงใต้มาก็จะเป็นประเทศในอาเซียน ตรงนี้มีทรัพยากรอยู่มาก ทำให้มีความน่าสนใจ และการที่ไทยมี EEC ก็จะเป็นปัจจัยหนุน” กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ(ประเทศไทย) กล่าว
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย คาดว่าตลาดหุ้นในปีนี้มีความน่าสนใจ เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง แต่การเติบโตจะไม่ร้อนแรงเหมือนกับปีก่อน ซึ่งทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้ง ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ ก็จะมีการเลือกตั้งแม้จะยังไม่รู้เวลาที่แน่นอน แต่ก็ยังอยู่ในกรอบ 150 วัน จึงน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
นายไพบูลย์ เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือน ม.ค.2562 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกันอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เช่นเดิม โดยลดลง 5.25% มาอยู่ที่ระดับ 92.75 เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลความเสี่ยงจากนโยบายทางการค้าของสหรัฐซึ่งถือเป็นประเด็นหลัก รองลงมาได้แก่เงินทุนเข้าออกระหว่างประเทศจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ส่วนปัจจัยบวกที่สร้างความเชื่อมั่นได้แก่เศรษฐกิจในประเทศ จากการเข้าสู่การเลือกตั้ง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.)
กลุ่มหลักทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ และหมวดพาณิชย์ ขณะที่หมวดที่ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดได้แก่ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดเหล็ก และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์