คำต่อคำ : สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เศรษฐกิจไทยปีหมู อึมครึม ไม่แน่นอน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา “KrungThai Next Thailand Economic Challenges 2019 ปีหมูทองเศรษฐกิจไทยไปต่อ?”

…เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว มีการประชุมกันจัดทำงบประมาณปีหน้า มีการสรุปกันแล้วว่า ตัวเลข (เศรษฐกิจ) ปีที่ผ่านมาจะอยู่ในช่วง 4-4.2% โดยขึ้นอยู่กับผลประกอบการเดือน ธ.ค. เป็นสำคัญ ถ้าเดือน ธ.ค. ดี มีการเบิกจ่ายดีดี ก็มีโอกาสไปถึง 4.2% ถ้าไม่ดีก็จะลดลงมา แต่จะอยู่ในช่วง 4-4.2%

ตัวเลขการลงทุนล่าสุดน่ายินดี คือ ทะลุเป้าพอสมควร โดยเฉพาะ EEC เพิ่มเป็น 100% การท่องเที่ยวก็ฟืนแล้ว โดยเฉพาะจังหวะสำคัญๆ ราคาสินค้าเกษตรค่อยๆ กระเตื้องขึ้นมา เพราะฉะนั้นปีที่ผ่านมาได้ถึง 4% ก็ถือว่าดีมากแล้ว

มีเพียงปัญหารากหญ้าที่ต้องดูแลอย่างจริงจังในอนาคตข้างหน้า

มองไปในอนาคต มีข้อสังเกตประมาณ 3 ประการ

ประการที่ 1 ปีนี้มีความไม่แน่นอนสูง จะว่าอึมครึมมันก็อึมครึม แต่ว่าชี้ชัดก็ลำบาก ประการหนึ่งความไม่แน่นอนเกิดจากปัจจัยภายนอก ซึ่งคุมไม่ได้ แต่เราถูกกระทบแน่นอน

นับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็สร้างความไม่แน่นอนสูงทีเดียว… จะว่าท่านผิดก็ไม่ใช่ เพราะสไตล์ของท่านมาจากภาคเอกชน เช่น นโยบายต่างประเทศต้องละเอียดอ่อน แต่ท่านสามารถตัดสินใจแป๊บๆ ได้เลย เราไม่เคยเห็น

สิ่งเรานี้เห็นจากการประกาศนโยบาย America First ซึ่งกลับหัวกลับหางจากอดีต… เพราะการที่สหรัฐอเมริกาสร้างอิทธิพลในโลกได้ เป็นผลมาจากการที่เขายอมเสียสละ เพราะฉะนั้นฐานะ (สหรัฐอเมริกา) อ่อนลง แต่อิทธิพลเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจลำบากในช่วงที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้นนโยบาย America First ผิดหรือไม่ เราไปตอบแทนเขาไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้นจริงๆ มีการผลิต มีการจ้างงาน GDP ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันที่เขาตัดสินใจรวดเร็ว ทำให้มีความไม่แน่นอนสูง ไปสร้างความขัดแย้งทางการค้ากับจีน สงครามการค้า ซึ่งภาคธุรกิจประเมินแล้วว่า เป็นการสร้างความเสี่ยงไม่ใช่เฉพาะจีน แต่เป็นทุกประเทศในโลก

ในภาวะที่มีไม่สามารถทำนายอะไรได้แน่นอน นักธุรกิจไม่ชอบ เพราะมีความเสี่ยง

เพราะฉะนั้นการทำอะไรของสหรัฐฯ ในขณะนี้ ความขัดแย้งกับจีน ความอ่อนแอของสหภาพยุโรป (EU) อังกฤษกำลังจะออกจาก EU (Brexit) ฝรั่งเศสมีปัญหาผู้นำ เยอรมันกำลังมีการเลือกตั้ง ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ต้องรอดูเหตุการณ์ทั้งสิ้น

ลักษณะเช่นนี้ ประเทศที่จะเจอปัญหามากที่สุด คือ ประเทศที่ต้องพึ่งพิงการส่งออกเป็นสำคัญ เช่น ไทย จะถูกกระทบด้วย

การส่งออกของไทยก็เห็นภาพแล้ว จากบวกอยู่ดีๆ เปลี่ยนมาเป็นติดลบ เกือบปริ่มน้ำ จะไม่ให้กระทบได้อย่างไร เพราะ (การส่งออก) เป็นสัดส่วนของ GDP เกือบ 70%

การค้าส่งผลต่อการเงินทั่วโลก ตลาดหุ้นเป็น the worst ของโลกตั้งแต่ปี 2008 เมื่อตลาดหุ้นถูกกระทบแน่นอนที่สุด มันก็คือกระทบไปทั่วโลก ท่านก็รู้ว่า เมื่อหุ้นตก ความมั่งคั่งหายไปเยอะมาก คนก็จับจ่ายน้อยลง ไม่ค่อยกล้าจับจ่าย

เพราะฉะนั้นการที่มีความผันผวนเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้คนมองว่า ปีหมูทอง จะยังเป็นหมูอยู่หรือเปล่า

ราคาสินค้าเกษตรแปรผันตามราคาน้ำมัน ก็ยังกังวลอยู่ว่าปีนี้ ราคาสินค้าเกษตรจะเป็นอย่างไร ในเมื่อสินค้าเกษตรของเราเป็น commodity แปรผันตามตลาดโลก

เพราะฉะนั้นมันค่อนข้างอึมครึมนิดหน่อย มีความไม่แน่นอนสูงด้วย

ขณะที่ประเทศไทยเจอ 2 เด้ง เด้งหนึ่งคือปัจจัยภายนอก และเด้งที่สองคือ เราจะมีการเลือกตั้ง

เมื่อรู้ว่าจะมีการเลือกตั้ง อย่างไรก็จะเกิดขึ้นภายในครึ่งปีนี้ จะรู้ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล นโยบายที่ทำอยู่นี้จะคงต่อหรือไม่ เอาใจเขามาใส่ใจเรา นักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทยต้องรอดูสถานการณ์ เพราะฉะนั้นปีนี้จะเป็นปีที่ไม่แน่นอน แต่จะดีมาก หรือ ดีน้อย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่จะต้องดูแลต่อไป

หน้าที่ของรัฐบาลนี้ คือ ดูแลจากวันนี้ให้ดีที่สุดจนถึงวันส่งไม้หลังจากการเลือกตั้ง หน้าที่คือประคองเศรษฐกิจให้ดี ถ้าตลาดโลกทรุดอย่าให้ทรุดตามเขา ซึ่งเรื่องนี้เราไม่กลัว เพราะตอนที่เราเข้ามานั้น เศรษฐกิจอยู่ที่ 0.8-0.9% เราดันจนกระทั่งมาถึง 4.8% ก่อนจะลงมา 4.2% ในปีที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้นการเผชิญสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นประการใด แต่ต้องรับสภาพจริงว่า โลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ เราคุมมันไม่ได้ แต่สิ่งที่คุมกันได้ คือ สถานการณ์ภายในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่นักการเมือง ประชาชนต้องช่วยกันดูแล

มิติที่ 2 แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอน มองไปข้างหน้าไม่ชัด แต่โอกาสมีสูงมาก

ไม่มียุคไหนที่เราจะสามารถจัดการความสัมพันธ์กับจีนและญี่ปุ่นได้ดีเท่ายุคสมัยนี้ โครงการ Belt and Road Initiatives (BRI) ของจีน เราเป็นประเทศแรกๆ ที่เขาหมายตา ญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นฐานใหญ่มาก ทุกคนมองไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของอาเซียน บริษัทเอกชนใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนขยายตลาดไปสู่ CLMV

ถ้าเราทำตัวเองได้ดีขนาดนี้ ไม่มีอะไรมาทำให้เสียบรรยากาศ ไทยสวยมาก

แต่คู่แข่งก็มี โดยเฉพาะเวียดนาม มาแรงมาก ถ้าเรามัวแต่ทะเลาะกัน เอ้อระเหย เขาจะแซงเรา และมาเลเซีย ก็ก้าวไปข้างหน้า เวียดนามและมาเลเซียจึงเป็นคู่แข่งสำคัญ ถ้าเราทำไม่ดี การลงทุนจากต่างประเทศเลี้ยวไปแน่นอน นักธุรกิจไทยก็เลี้ยวไป

เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้เราเป็นจุดเด่นสูงสุด ใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์กับประเทศไทยสูงสุด เพราะฉะนั้นการปฏิรูป การเปลี่ยนแปลงจึงสำคัญ

ตอนที่ผมเข้ามาใหม่ๆ ประกาศเลยว่า คณะเศรษฐกิจมีภารกิจ 2 อย่าง คือ พยุงเศรษฐกิจ ซึ่งทำสำเร็จ และสองสำคัญมาก คือ การปฏิรูปอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นเราเข้ามาทำมาก คือ การเปลี่ยนแปลงประเทศ การปรับปรุงทั้งหลายไม่ใช่ของง่าย และไม่ใช่แค่รัฐมนตรีไม่กี่คน แต่ต้องทำให้ทุกคนในไทยซาบซึ้งใจว่า ต้องทำร่วมกัน เพราะปัญหาไม่ใช่ง่าย

มิติแรกปฏิเสธไม่ได้ ฐานรากของเราจน จนเพราะอะไร จนเพราะรัฐบาลนี้ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ ท่านก็รู้อยู่แล้วว่า 20-30 ล้านคน เป็นเกษตรกร สินค้าแปรรูปมีน้อย ไม่มีข้อมูลด้านการตลาด ผลิตมาแล้วให้รัฐบาลขายและราคาต้องดี การเชื่อมต่อข้อมูลมีน้อย

รัฐบาลเข้ามาแก้ปมตรงนี้ คือ การรดน้ำที่ราก ต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิต หาผู้นำเกษตรกรในการเปลี่ยนแปลง เอาเทคโนโลยีลงไป ต้องแปรรูปให้ได้ ที่สำคัญ คือ รู้ว่าจะขายให้ใคร ซึ่งการให้เกษตรกรขายสินค้าออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ ไม่ใช่เรื่องง่าย

การท่องเที่ยว 38 ล้านคน แทนที่จะกระจุกตัว ต้องทำให้ไปเที่ยวเมืองรอง เพราะไม่ใช่แค่โรงแรม แต่เป็นรายได้เกษตร ซึ่งจะทำได้ต้องพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การคมนาคมต้องไปถึงได้

คมนาคมไทยเคยเน้นเรื่องไปต่างจังหวัดหรือไม่ รัฐบาลนี้บอกให้รถไฟเชื่อมโยงเมืองรอง เมื่อคนไปเที่ยวได้ ชุมชนพัฒนา เงินสะสมท้องถิ่นเกือบ 6 แสนล้าน การเชื่อมโยงกับท้องถิ่นน้อยมาก ถ้าเชื่อมโยงได้จะทำให้เกิดการพัฒนา ซึ่งทำไม่ง่าย

การเข้าไปดูแลเกษตรกรเป็นเรื่องจำเป็น สวัสดิการให้ได้ พยุงให้คนไม่ไหวแล้ว แต่หัวใจคือการเปลี่ยนแปลง ต้องเอาจริง

เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน จำเป็นมาก จากที่ไม่ได้ทำมาเป็นสิบๆ ปี เกิดขึ้นแล้วยังไม่จบ รัฐบาลนี้ถ้ามีเวลา 5 เดือนเราต้องสานต่อให้ได้ EEC คือตัวสำคัญ เพราะการลงทุนมาลงทีนั่นเยอะมาก สนามบิน เมืองการบิน แหลมฉบัง มาบตาพุด ทุกอย่างต้องเอาออกมาให้หมด ให้เห็นชัดๆ ตัวเป็นๆ ว่าเกิดขึ้นแล้ว

ทางใต้รถไฟรางคู่ต้องลงและภายในปีนี้ต้องเกิดโครงการที่ 1 จากกรุงเทพเชื่อม EEC ลงไปชุมพร ระนอง ให้การผลิตทั้งหลายออกไปสู่อันดามัน การท่องเที่ยวชายฝั่งต้องเกิดขึ้นจะเกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจอย่างรุนแรง อิสานด้วย ให้เกิดการพัฒนา

อุตสาหกรรมเป้าหมาย ท่านต้องเข้าใจว่าทำไมเราต้องเป็นห่วงการส่งออก เพราะสินค้ามีไม่เกิน 5 ตัว เรารู้อยู่แล้วว่า การส่งออกไม่ได้สร้าง Margin ได้ ต้องสร้างผู้ประกอบการใหม่ๆ หรือสตาร์ทอัพ เราต้องสร้างใหม่ๆ ขึ้นมา เราให้งบประมาณในการสร้างสตาร์ทอัพมาก ต้องทำต่อไป ให้โครงสร้างการผลิตเปลี่ยน ไม่เช่นนั้นสู้เขาไม่ได้

Digital Economy เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในช่วง 5 เดือนที่มีอยู่ ต้องให้เปลี่ยนผ่านให้ได้ ไปสู่ดิจิทัล โลกกลัวจะเกิด disruption ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงจะจบเร็ว เพราะพฤติกรรมคนเปลี่ยนไป คนไม่เข้าตลาดสด ไม่ซื้อหาบเร่แผงลอย ภาวะซบเซาอย่างนี้ไม่ใช่ชั่วคราว ต้องหาวิธีรับมือกับการค้าขายที่เปลี่ยนแปลงไป

จะทำอย่างไรให้คนไทยตื่นตัว ทุกอย่างต้องเร็ว AI เกิดแน่นอน หน้าที่ของรัฐบาล คือ ต้องทำให้คนตื่นตัวเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล โอกาสมาแล้ว หน้าที่เราจะทำอย่างไรให้เราดูดี แข็งแรง เปลี่ยนแปลง ทันสมัย คนก็จะมาประเทศเรา

มิติที่ 3 การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ความรู้สึกของคนทั่วไปมองว่า ความไม่แน่นอนสูง รัฐบาลหน้าจะต้องเป็นรัฐบาลผสม ความขัดแย้งจะมีสูง ทุกอย่างขับเคลื่อนลำบาก อันนี้เป็นกรอบความคิดของคนทั่วไปว่า เมื่อมีรัฐบาลผสมจะเดินหน้าลำบาก

แต่ประเทศไทยไม่มีเวลาอีกแล้ว ปีนี้ และปีหน้า สำคัญมาก ถ้าสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่อเนื่อง ทำประเทศให้ดีขึ้น ทันทีที่หมดครึ่งปี ผมเชื่อว่า ณ ขณะนั้น สถานการณ์โลกจะดีขึ้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะไม่สามารถยืดเยื้อไปได้นาน จะเจ็บตัวทั้งคู่ ผมเชื่อว่าจะสามารถตกลงบางอย่างกันได้ในปีนี้

สอง ในครึ่งปีหลังสถานการณ์การเมืองในประเทศจะชัดเจน ทุกอย่างจะคลี่คลาย

หน้าที่ของเรา คือ เตรียมตัวเองให้พร้อม และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็สามารถทะยานออกไปได้ อย่ามัวแต่ทะเลาะกัน สาดโคลนใส่กัน

สังคมต้องมาก่อน ประเทศชาติมาก่อน พรรคมาทีหลัง ผมฝากทุกพรรค ต้องร่วมกันทำงานได้ เอาคนเก่งๆ เอาคนหนุ่มสาวเข้ามา ประเทศก็ดีไปเอง จะช่วยกันอย่างไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นแบบนี้ได้ โลกจะเป็นอย่างไรเราไม่ห่วงอยู่แล้ว

จะเลือกตั้งแล้ว พิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นว่า ประเทศไทยเป็นเอกภาพได้ รัฐบาลผสมก็เป็น “รัฐบาลร่วม” ที่ทำเพื่อชาติ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน สร้างโครงสร้างรับการเปลี่ยนแปลงข้างหน้า เราไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้วในอาเซียน