บล.กสิกรฯคาดหุ้นสัปดาห์แรกปี’69 ให้แนวรับ1,230 แนวต้าน 1,285

HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยให้แนวรับที่ 1,240 และ 1,230 จุด ส่วนแนวต้าน 1,270 และ 1,285 จุด จับตาตัวเลขเงินเฟ้อเดือนธ.ค.-ทิศทางเงินทุนต่างชาติ  จากปี 68  ดัชนี SET  ร่วง 10.04% ด้านธนาคารกสิกรไทยมองกรอบค่าเงินบาทที่ 31.00-31.60 บาทต่อดอลลาร์ฯในสัปดาห์แรกของปี 69  ส่งท้ายปีพลิกกลับมาแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 31.67 บาท รวมทั้งปีแข็งค่าขึ้นถึง 8.5%

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์แรกของปี 2569 (5-9 ม.ค.)ว่า ดัชนีหุ้นมีแนวรับที่ 1,240 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,270 และ 1,285 จุด ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของไทยและทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรอัตราการว่างงานเดือนธ.ค.และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนธ.ค. ของยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น  ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค.และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนธ.ค.ของจีน

ส่วนหุ้นในวันทำการสุดท้ายของปี 2568 ปรับตัวลงในช่วงแรกตามแรงขายของกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และต่างชาติ โดยมีการเลือกขายทำกำไรหุ้นรายตัว อาทิบริษัทผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยาน บริษัทที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีก และบริษัทด้านพลังงาน เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนตามแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ก่อนประกาศงบไตรมาส 4/2568 และหุ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งหลังร่วงลงแรงก่อนหน้านี้ อนึ่งสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการเพียง 2 วัน ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง

ในวันอังคารที่ 30 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,259.67 จุด เพิ่มขึ้น 0.03% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 28,128.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.47%   ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.83% มาปิดที่ระดับ 217.05 จุด

หุ้นปี 68 ร่วงลง 10.04% 

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นในปี 2568 นั้นดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,259.67 จุด  ลดลง 10.04% จากระดับ 1,400.21 จุด ณ สิ้นปี 2567

SET Index แตะจุดสูงสุดของปีที่ระดับ 1,399.35 จุดในวันทำการแรกของปี 2568ก่อนจะแกว่งตัวอิงขาลงจนถึงช่วงกลางปีท่ามกลางหลาย ปัจจัยลบ อาทิการคาดการณ์เกี่ยวกับการชะลอการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐ
ฯ (แม้สหรัฐฯจะระงับใช้มาตรการภาษีตอบโต้เป็นการชั่วคราวเพื่อเปิดช่องให้เกิดการเจรจาต่อรองในเดือนเม.ย.) รวมถึงการยกระดับความรุนแรงของสงครามการค้าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่านตลอดจนปัจจัยการเมืองในประเทศหลังเกิดประเด็นขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา

ทั้งนี้ดัชนีหุ้นแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี 3 เดือนที่ 1,053.79 จุดในช่วงท้ายเดือนมิ.ย. 2568 ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นได้ในเวลาต่อมา ปัจจัยที่หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ได้แก่ การเริ่มปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนก.ย. การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าใหม่ปรับลดลงมาอยู่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน และการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการที่เป็นไปอย่างราบรื่น

อย่างไรก็ดีกรอบการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นค่อนข้างจำกัดในช่วงไตรมาส 4 หลังเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งลดดอกเบี้ยในปี 2569 ประกอบกับตลาดมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยหลังเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้และสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ยังต้องติดตามประเด็นการเมืองอย่างใกล้ชิดหลังมีการประกาศยุบสภาและการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569

ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในสัปดาห์แรกของปี 2569 (5-9 ม.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ ระดับ 31.00-31.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก

สำหรับเงินบาทสัปดาห์สุดท้ายของปี 2568 พลิกกลับมาแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 31.67 บาทต่อดอลลาร์ฯตามแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลกและแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชั่นก่อนสิ้นปี นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินบาทในระหว่างสัปดาห์ยังสอดคล้องกับแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน

ในสัปดาห์สุดท้ายของปี (29-30 ธ.ค. 68) ธปท.มีการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกรรมเงินตราต่างประเทศขาเข้าเพื่อลดแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินบาทและป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่ตรงกับแหล่งที่มาที่แจ้งไว้ หรือการทำธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ โดยมีการปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการทำธุรกรรมขาย FX ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล อาทิ กรณีการขายและรับโอน FXที่มาจากการขายทองคำ หรือกรณีการขาย FX เพื่อรับเงินบาทและการโอนเงินตราต่างประเทศเข้าบัญชี FCD ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์ฯ หรือเทียบเท่าขึ้นไป

นอกจากนี้ ธปท. และสำนักงาน ปปง.ยังร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำเพื่อยกระดับการกำกับดูแลให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ 1) การเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลซึ่งจะเน้นไปที่การระบุผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงเพื่อป้องกันการใช้ตัวแทนอำพราง (Nominee)ในการซื้อขายทองคำ ปริมาณมาก

2)การวิเคราะห์พฤติกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยเพื่อวางแนวทางจัดการที่เหมาะสม และ 3)การกำหนดแนวทางการกำกับดูแลและตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำ

ในวันอังคารที่ 30 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 31.41 บาทต่อดอลลาร์ฯเทียบกับระดับ 31.07 บาท ในวันศุกร์ก่อนหน้า (26 ธ.ค.)

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 29-30 ธ.ค. 2568 นั้นขายสุทธิหุ้นไทย 657 ล้านบาทและมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflowsออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,269 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 1,259 ล้านบาทและตราสารหนี้หมดอายุ 10 ล้านบาท)

เงินบาทปิดที่ 31.41 แข็งค่าขึ้น 8.5% ปี 68

สำหรับภาพรวมในปี 2568 (2 ม.ค.-30 ธ.ค. 2568) เงินบาทแข็งค่าขึ้น 8.5% มาปิดตลาด ณ สิ้นปี 2568 ที่ 31.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากระดับ 34.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ณ สิ้นปี 2567

ในช่วงต้นปี 2568 เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่า ท่ามกลางความกังวลในเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่อาจเกิดขึ้นจากประเด็นนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดี ทำให้การคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดเลื่อนเวลาออกไป

อย่างไรก็ดีเงินบาททยอยแข็งค่ากลับมาในช่วงที่เหลือของปีโดยมีแรงหนุนสำคัญจาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ 1)การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ
ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่ทยอยปรับลดลง และความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯจากผลกระทบของ Tariffs 2)การปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้งของราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งค่า Correlation ระหว่างราคาทองคำโลกและอัตรา แลกเปลี่ยน USD/THB อยู่ที่ -0.82 ในปี 2568 และ 3) การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด14.6 พันล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568
ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งส่งออกสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผล

ในช่วงปลายปี 2568 เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมากและแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน (แข็งค่าสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2564) ที่ 31.01บาทต่อดอลลาร์ฯ ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาSpot ของทองคำในตลาดโลกที่ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใกล้แนว 4,550 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์