บล.กสิกรฯจับตา Window Dressing ลุ้นแนวต้าน 1,285 สัปดาห์หน้า

HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยให้แนวรับ 1,240 และ 1,230 จุด ส่วนแนวต้าน 1,275 และ 1,285 จุด ติดตามการทำ Window Dressing ช่วงสิ้นปี สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท ธนาคารกสิกรไทยคาดที่ระดับ 30.90-31.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าเข้าใกล้ 31.00 แตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือนนับตั้งแต่มี.ค. 64 ที่ 31.02

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (29-30 ธ.ค. 2568) ดัชนีหุ้นมีแนวรับที่ 1,240 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,275 และ 1,285 จุด ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การทำ Window Dressing ช่วงสิ้นปี สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญได้แก่ PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ยอดขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. และดัชนีราคาที่อยู่อาศัยเดือนต.ค. รวมถึงข้อมูล PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ

สัปดาห์ที่ผ่านมา SET Index ดีดตัวขึ้นช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ท่ามกลางแรงซื้อหลัก ๆ จากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามทิศทางการฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก และหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นจากประเด็นข่าวที่ว่าสหรัฐฯ สกัดกั้นและยึดเรือบรรทุกน้ำมันนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา

นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมในช่วงกลางสัปดาห์ สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศ นำโดย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยบวกจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นร่วงลงในช่วงปลายสัปดาห์ โดยเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากกังวลว่าต้นทุนการผลิตจะปรับตัวสูงขึ้นหลังราคาทองแดงพุ่งสูงขึ้น ประกอบกับไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งปิดทำการในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

ในวันศุกร์ที่ 26 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,259.25 จุด เพิ่มขึ้น 0.56% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 24,789.73 ล้านบาท ลดลง 27.16% ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.14% มาปิดที่ระดับ 215.27 จุด

ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 2568-2 ม.ค. 2569 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 30.90-31.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่าเข้าใกล้แนว 31.00 โดยแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือนนับตั้งแต่มี.ค. 2564 ที่ 31.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้ง ประกอบกับเงินบาทน่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากปัจจัยทางเทคนิค หลังเงินบาทแข็งค่าผ่านแนวสำคัญทางจิตวิทยาหลายแนวในระยะนี้

นอกจากนี้ สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ต่างก็เคลื่อนไหวในกรอบแข็งค่า สอดคล้องกับเงินเยนที่ทยอยแข็งค่ากลับมา หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นเตือนถึงการเข้าดูแลเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเงินเยน ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังคงถูกกดดันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในปี 2569 ซึ่งอาจจะมากกว่า 1 ครั้งที่สะท้อนผ่าน Dot Plot ล่าสุด

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2568 กระทรวงการคลัง ธปท. และ ก.ล.ต. มีการแถลงเปิดเผยแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาท โดยจะมีการกำหนดให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำ เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ ขณะที่ ธปท. ก็จะมีการพิจารณาแนวทางการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น กำหนดเพดานวงเงินการซื้อ-ขายด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ยังต้องรอรายละเอียดของแต่ละมาตรการอีกครั้งในช่วงหลังจากนี้

นอกจากนี้ ธปท. ยังมีหนังสือเวียนลงวันที่ 26 ธ.ค. 2568 เรื่อง การซักซ้อมวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับลูกค้า โดยขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 5 แห่ง ในการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการรับซื้อหรือรับฝากเงินตราต่างประเทศที่มาจากต่างประเทศของลูกค้าที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ (Resident) โดยเฉพาะ 1) กรณีเงินตราต่างประเทศที่ไม่เกี่ยวกับค่าทองคำและธนบัตรเงินตราต่างประเทศที่มีจำนวนตั้งแต่ 2 แสนดอลลาร์ฯ หรือเทียบเท่า 2) กรณีเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวกับค่าทองคำทุกจำนวนรายธุรกรรม และ 3) กรณีธนบัตรเงินตราต่างประเทศที่มีจำนวนเงินตั้งแต่ 15,000 ดอลลาร์ฯ หรือเทียบเท่า

ในวันศุกร์ที่ 26 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 31.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 31.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 ธ.ค.)

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 22-26 ธ.ค. 2568 นั้นซื้อสุทธิหุ้นไทย 2,045 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 2,863 ล้านบาท

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–