HoonSmart.com>> PTG ส่งเสริมโครงการ “ปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง” ลดการปล่อยก๊าซมีเทนต่อยอดเป็นคาร์บอนเครดิต เพิ่มมูลค่าเกษตรกร พร้อมสานต่อโครงการ “พีที ค่ายอาสาทำจริงไม่ทิ้งกัน” ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ผู้นำการบริการในธุรกิจพลังงานครบวงจรของประเทศ PTG ตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย
ความมั่งมั่นดังกล่าว เป็นที่มาของโครงการ “ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง” บนที่นา 500 ไร่ โดยร่วมกับบริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด (WAVE BCG) และกลุ่มเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี ทำเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำ ยกระดับข้าวไทยสู่มาตรฐานการผลิตอย่างยั่งยืนระดับโลก และนำองค์กรบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขณะเดียวกัน PTG ได้จัดกิจกรรม CSR ภายใต้โครงการ “พีที ค่ายอาสา ทำจริงไม่ทิ้งกัน” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตรวมถึงส่งเสริมสุขภาพอนามัยเยาวชน และชาวบ้านในพื้นที่ชุมชนตำบลหนองสะเดา อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
สำหรับนาเปียกสลับแห้ง ใช้เทคนิคการบริหารจัดการน้ำในนาข้าวแบบ Alternate Wetting and Drying (AWD) หรือการปล่อยให้ระดับน้ำ ขังและแห้งสลับกันเป็นช่วงเวลาอย่างเหมาะสม
กระบวนการดังกล่าวเริ่มจากการบริหารจัดการระดับน้ำอย่างเป็นระบบ โดยขังน้ำในระยะเริ่มต้นเพื่อให้ต้นข้าวตั้งตัวได้อย่างมั่นคง แล้วปล่อยน้ำให้แห้งสลับเปียกเป็นรอบ ๆ เพื่อเปิดทางให้ดินได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบรากให้แข็งแรงและดูดซึมแร่ธาตุได้ดียิ่งขึ้น
หัวใจสำคัญของเทคนิคนี้คือการตัดวงจรการเกิดสภาวะไร้ออกซิเจนในชั้นดิน ซึ่งเป็นต้นตอของการผลิตก๊าซมีเทน ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการทำนาแบบเปียกสลับแห้งยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศในแปลงนาให้สมดุล เอื้อต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ต้นข้าวทนต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน นับเป็นการยกระดับข้าวไทยสู่มาตรฐานการผลิตระดับโลกที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ PTG ยังได้เชื่อมโยงมิติด้านสิ่งแวดล้อมสู่สังคม โดยข้าวที่ได้จากโครงการข้าวยั่งยืนฯ จะถูกนำไปมอบเป็นอาหารกลางวันให้กับโรงเรียนในตำบลหนองสะเดา ทั้ง 6 แห่ง เพื่อให้นักเรียนได้รับโภชนาการที่ดีจากข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG กล่าวว่า พีทีจี เติบโตเคียงคู่กับคนไทยมากว่า 37 ปี ตระหนักดีในการให้ความช่วยเหลือสังคม ซึ่งโครงการ “พีที ค่ายอาสาทำจริงไม่ทิ้งกัน” ครั้งนี้ จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 20 ธ.ค. 2568 ณ โรงเรียนวัดเนินมหาเชษฐ์ ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทฯ ดำเนินกิจการสถานีบริการน้ำมันพีที และบริษัทฯ ในเครือ โดยระดมพนักงานกว่า 50 คน ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวชุมชนตำบลหนองสะเดา ให้ “อยู่ดีมีสุข” ครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. ด้านส่งเสริมสุขภาพและอนามัย: ผ่านโครงการ “พีที ชุมชนตาสว่าง” บริการวัดสายตาประกอบแว่นและให้ความรู้เรื่องดวงตากับผู้สูงอายุ ปัจจุบันเรามอบแว่นตาให้ผู้สูงอายุไปแล้วกว่า 6,925 คน และในชุมชนนี้จะเพิ่มอีกจำนวน 300 คน พร้อมจัดอบรมขับขี่ปลอดภัย และสนับสนุนหมวกกันน็อคให้ผู้นำชุมชน จำนวน 30 ใบ รวมทั้งยังลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง พร้อมมอบของอุปโภคบริโภคเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน จำนวน 10 ราย และเติมเต็มความสุขด้วยกิจกรรมสันทนาการให้กับชาวบ้านและน้องๆ เพื่อส่งต่อความสุขและรอยยิ้ม รวมถึงมอบของอุปโภคบริโภค และอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทานตลอดงาน
2. ด้านการศึกษาและเยาวชน: มอบทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ที่อยู่ในพื้นที่ชุมชนนี้ ทั้ง 6 สถานศึกษา จำนวน 42 ทุน ทุนละ 2,000 บาท พร้อมมอบทุนการ ศึกษาบุตรและธิดาของพนักงานเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อีกจำนวน 10 ทุน ทุนละ 2,000 บาท รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา มอบพันธุ์ผักสวนครัวสำหรับประกอบอาหารกลางวัน และปรับปรุงสนามเปตอง
นอกจากนี้ยังมีการจัดประกวดวาดภาพระบายสีหัวข้อ “ชุมชนรุ่นใหม่ ก้าวไกลไปกับ พีที” เพื่อเปิดพื้นที่ความคิดสร้างสรรค์ให้กับเยาวชน และยังมีกิจกรรมเสริมทักษะจากกลุ่มอาสาสมัคร Gen Z มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาร่วมกิจกรรม PT พี่อาสา สอนน้องเรียน พาน้องเล่น PT Gen Z English Fun และมหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี มาร่วมสร้างสีสัน กับกิจกรรม PT Gen Z Music Concert
3. ด้านสิ่งแวดล้อม: สนับสนุน “แปลงผักสวนครัวเพื่อน้อง” จำนวน 200 ต้น เพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารกลางวัน พร้อมกิจกรรม “ต้นไม้แลกยิ้ม” แจกต้นไม้กินได้ 300 ต้นให้ชาวบ้านนำกลับไปปลูก เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ
ทั้งนี้ PTG มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน เพื่อให้คนไทยทุกคน “อยู่ดีมีสุข” ไปพร้อมกับการเติบโตขององค์กร
