HoonSmart.com >> ตลาดตื่น ! เล็งทบทวนเกณฑ์ซื้อขายหุ้น ฟื้นฟูตลาดหุ้น ดึงต่างชาติกลับเข้าตลาดหุ้นไทย ยันตลาดไม่ใช่แหล่งเงินเทา มั่นใจหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ เชื่อมั่น Jump+ และ TISA
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ เตรียมทบทวนมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เคยบังคับใช้เพิ่มเติม ในช่วงต้นปี 2569 เพื่อพิจารณาว่าควรใช้ต่อไปหรือยกเลิก หลังพบว่าต่างชาติ กังวลกฎเกณฑ์การซื้อขาย มีความเข้มงวดกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ
สำหรับมาตรการที่ออกเพิ่มเติม อาทิเช่น กำหนดหุ้นที่อนุญาตให้ขายชอร์ตได้เป็นเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100,การกำหนดซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนกลุ่ม HFT จำกัดอยู่เพียงเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100, Dynamic Price Band และ Uptick Rule ซึงการตัดสินใจใช้ต่อหรือยกเลิก อยู่บนรวมของข้อมูลที่วิเคราะห์ออกมาจริง ๆ ว่า อะไรที่ทำแล้วตลาดดีขึ้นหรือแย่ลง
” ตลาดหลักทรัพย์ ได้พูดคุยกับ MSCI ซึ่งเป็นศูนย์รวมนักลงทุนต่างประเทศทั่วโลก เปรียบเทียบตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นใน ภูมิภาคหรือตลาดประเทศเกิดใหม่ พบว่า การลดจำนวนหุ้นขายชอร์ตได้หรือมารการ Uptick Rule ถดถอยเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ ”
นายอัสสเดช กล่าวถึง ตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ แต่ยอมรับว่ามีบริษัทไม่ดีไม่กี่ราย ที่ทำลายภาพลักษณ์ตลาด ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 90% หรือ 700-800 บริษัท ยังมีผลประกอบการและการบริหารที่ดี จึงต้องยกระดับการสื่อสาร
ส่วนที่มองว่า ตลาดหุ้นเป็นแหล่งฟอกเงิน เป็นคำพูดที่ดูแรงเกินไป เพราะยังไม่เห็นการกระทำที่ชัดเจน หลังจากที่ ก.ล.ต.และ ปปง. อายัดทรัพย์แล้ว จะสืบสวนชัดเจนอีกครั้ง อาจเป็นแค่บางจุดหรือบางบริษัท โดยรวมยังเชื่อว่า ตลาดหุ้นไม่ได้เป็นแหล่งฟอกเงิน เพราะหน่วยงานกำกับ มีกระบวนการคัดกรองและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ กำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนทั้ง บล.และ บลจ.มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดด้าน KYC และการตรวจสอบการซื้อขายของ ตลท.ดำเนินการทุกวัน จึงไม่อยากให้มองว่าตลาดทุนไทยเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจสีเทา
กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงตลาดหุ้นปี 2568 มีความผันผวนทั้งภาวะเศรษฐกิจ แผ่นดินไหว น้ำท่วม สภาพอากาศ ปัญหาการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ตลาดทุนค่อนข้างอ่อนแรง แต่หุ้นปันผลสูง ๆ ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนไทยและต่างชาติ
ขณะที่ปี 2569 เสถียรภาพของรัฐบาล หลังเลือกตั้งใหม่ รวมถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจจะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งที่นักลงทุนพูดถึง
สำหรับมุมมองของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่อยากจะผลักดันต่อเนื่องจากปีนี้คือ โครงการ Jump+ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 100 บริษัท โดยขั้นตอนต่อไปคือ การวางแผนในช่วง 3 ปีข้างหน้า ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน ธรรมาภิบาล ESG และการจัดการก๊าซเรือนกระจก เชื่อว่าขั้นตอนต่อไปคือการสื่อสาร โดยคาดว่าจะเห็นการสื่อสารที่ชัดเจนของ บจ. หลายแห่งที่ออกมาภายในช่วงไตรมาส 2/69
ประกอบกับจะมีการขยายผลิตภัณฑ์ลงทุน เช่น Depositary Receipts (DR) ซึ่งปัจจุบันมีเกือบ 230 หลักทรัพย์ เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศที่เติบโตสูง รวมทั้งการเปิดตัว Leverage & Inverse ETF เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารพอร์ตทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง และการเตรียมเปิด Bond Connect Platform คาดว่าจะเริ่มได้ในต้นปีหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลได้ง่ายขึ้นผ่านบริษัทหลักทรัพย์
ส่วนโครงการ TISA ที่อาจไม่ทันรัฐบาลชุดนี้นั้น มองว่าโครงการที่ริเริ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ต้องเดินหน้าต่อ เพราะเป็นความร่วมมือจากหลายหน่วยงานตั้งแต่ก่อนรัฐบาลปัจจุบัน และรัฐบาลถัดไปก็จำเป็นต้องสานต่อ แก่นหลักของโครงการคือความยั่งยืน ต้องการให้เป็นมาตรการระยะยาว ไม่ใช่มาตรการชั่วคราว ตัวเลขสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น วงเงินลงทุนหรือการลดหย่อนภาษีอาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่รายละเอียดเงื่อนไขยังต้องพิจารณาให้เหมาะสม
นอกจากนี้คาดหวังว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปีในปีหน้าจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีนี้ หลังจากยอมรับว่าสภาพคล่องในตลาดทุนไทยปรับลดลงต่อเนื่อง โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 40,000-42,000 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ปรับลดลงจากในอดีตที่เคยสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สอดคล้องกับทิศทางเงินลงทุนที่ไหลออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีบริษัทที่เติบโตสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
