HoonSmart.com>>ปี 2568 ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งการเมืองที่ไม่แน่นอน มาตรการภาษีโลก ภัยธรรมชาติ และแรงกดดันจาก MSCI ส่งผลให้ IPO ลดลงอย่างมาก ขณะที่มาตรการกระตุ้นตลาดยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนรายย่อยได้
นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม และโฆษกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีแห่งความผันผวน จากการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ กดดันตลาดหุ้นไทย
ต้นปี ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีการค้า (Tariff) ที่ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง ก่อนจะฟื้นตัวชั่วคราวเมื่อมีการขยายเวลา แต่กลับร่วงอีกครั้งเมื่อการเจรจาไม่สำเร็จและมีการเพิ่มภาษีเพิ่มเติม เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงทำให้เกิดการช็อคทั่วโลก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ด้านการเมือง ปีนี้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน เริ่มจากอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ต่อด้วยอดีตนายกฯแพทองธาร ชินวัตร และปิดท้ายด้วยนายกฯอนุทิน ชาญวีระกูล สะท้อนความไม่แน่นอนทางการเมืองที่นักลงทุนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีเดียว
มาตรการกระตุ้นตลาดท่ามกลางแรงกดดัน
รัฐบาลประกาศมาตรการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน รวมถึงการปรับโครงสร้างกองทุน LTF ไปเป็น Thai ESGX รวมถึง ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ MSCI ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยต่อเนื่อง ปัจจุบันเหลือเพียง 19 หุ้นในดัชนี MSCI ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องและความน่าสนใจของตลาด
ด้านหุ้น IPO ปีนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา มูลค่า IPO รวมทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 348 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอดีตที่ไทยเคยเป็นผู้นำในอาเซียน
ภัยธรรมชาติซ้ำเติมตลาด
ปีนี้ยังเผชิญภัยธรรมชาติครบทุกด้าน ตั้งแต่แผ่นดินไหวต้นปี ไฟป่ากลางปี และน้ำท่วมปลายปี เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
ความเชื่อมั่นยังไม่ฟื้น
ความรู้สึกของนักลงทุนอยู่ในระดับ “highly negative” ความเชื่อมั่นต่ำทำให้รายย่อยไม่กลับเข้าสู่ตลาด แม้จะมีมาตรการกระตุ้น เช่น การจำกัดหุ้นที่สามารถทำ short sell เฉพาะใน SET100 การเปิดเผยข้อมูล outstanding short position และการกำหนดมาตรการควบคุมหลายระดับ รวมถึงการบังคับให้ผู้ทำ High-Frequency Trading (HFT) ต้องขึ้นทะเบียน
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเปิดเผยรายชื่อผู้ส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม เพื่อให้โบรกเกอร์เข้ามากำกับดูแลและป้องกันพฤติกรรมที่บิดเบือนตลาด และการกำหนด minimum resting time สำหรับคำสั่งซื้อขายเร็ว เพื่อสร้างความโปร่งใสและลดพฤติกรรมที่บิดเบือนตลาด
ผลิตภัณฑ์ใหม่-จั๊มพลัส เรียกเชื่อมั่น
ปี 2568 ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้ามาตรการเชิงรุกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงนักลงทุนรายย่อยกลับเข้าสู่ตลาด ผ่านทั้งโครงการสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
โครงการ “จั๊มพลัส” ปัจจุบันมีบริษัทเข้าร่วมแล้ว 94 บริษัท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ราว 100 บริษัท เพื่อยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียน และสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุน
การออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือกและบริหารความเสี่ยงของนักลงทุน
ทั้งตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) เปิดให้นักลงทุนมีโอกาสลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ด้วยการซื้อขายเป็นเงินบาท ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
Leverage ETF สำหรับผู้ที่มองว่าตลาดจะปรับขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนที่ทวีคูณ, Inverse ETF สำหรับผู้ที่คาดว่าตลาดจะปรับลง สามารถทำกำไรจากฝั่งขาลง,USD Option สินค้าใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ โดย Option คือ “สิทธิ์” ที่ผู้ลงทุนสามารถเลือกใช้หรือไม่ใช้สิทธิ์ได้ (Put หรือ Call) แตกต่างจาก Future ที่เป็นสัญญาบังคับตามเงื่อนไขที่ซื้อไว้ ช่วยให้นักลงทุนมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านค่าเงินและการลงทุนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
” แม้มาตรการถูกออกแบบเพื่อกำกับดูแลนักลงทุนรายย่อย แต่สิ่งที่พบ คือ รายย่อยยังไม่กลับมา ต่างชาติเองก็ไม่เข้ามาเพิ่ม บางมาตรการอาจไปจำกัดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยไม่ได้สร้างแรงดึงดูดใหม่ให้กับรายย่อย ตลาดจึงยังอยู่ในภาวะที่ความเชื่อมั่นต่ำ และการลงทุนไม่ฟื้นตัวตามที่คาดหวัง”นายรองรักษ์ กล่าว
ที่สำคัญ ปี 2568 มีการกล่าวโทษนักลงทุนและผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ที่ทำผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้จะมีไม่มากเมื่อเทียบกับบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด แต่ทำให้ภาพลักษณ์ตลาดทุนไทยเสียหาย เข้ามาฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นระยะ
