HoonSmart.com>>หนีให้ทัน! 28 พ.ย. 2568 หุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) มีการซื้อขายผิดปกติ ราคาหุ้นไหลลงจนมาปิดที่จุดต่ำสุด 25 บาท ร่วงลงถึง 3.75 บาท หรือ -13.04% ด้วยปริมาณมากกว่า 40.71 ล้านหุ้น มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,082.98 ล้านบาท กระโดดจากปกติเทรดไม่เกินวันละ 100 ล้านบาท ราคายังสวนทางหุ้นโรงกลั่น TOP,SPRC ท่ามกลางกระแสข่าว เรื่องผู้ถือหุ้นรายใหญ่เทกระจาดหุ้น จะเพื่อวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม

แหล่งข่าวจากวงการหุ้น กล่าวว่า หุ้นบางจากฯมีการซื้อขายผิดปกติแน่นอน เพราะเมื่อวันที่ 27 พ.ย.เพิ่งมีแรงเก็งกำไรไล่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุดแตะ 29.75 บาท ก่อนมาปิดที่ 28.75 บาท บวก 0.75 บาท หรือ +2.68% ดีใจเรื่องบอร์ดอนุมัติงบถึง 3,800 ล้านบาท สำหรับโครงการซื้อหุ้นคืน 3 ปี โดยจะเริ่มซื้อปีแรก ด้วยวงเงิน 1,100 ล้านบาท จำนวน 29.5 ล้านหุ้น คิดเป็นประมาณ 2% เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.นี้ แต่วันรุ่งขึ้น 28 พ.ย. กลับเทขายหุ้นออกมามากถึง 40.71 ล้านหุ้น หรือประมาณ 3% ของทุนเรียกชำระแล้ว กดราคาหุ้นลงมาเหลือแค่ 25 บาท นักลงทุนทั่วไปคงไม่ยอมขายขาดทุน แถมมีข่าวบวกเรื่องซื้อหุ้นคืนสนับสนุน ที่สำคัญคนที่มีหุ้นออกมาขายได้มากขนาดนี้ จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เท่านั้น
แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่จะขายหุ้นบางจากฯออกมาทำไมในช่วงนี้ ท่ามกลางปัจจัยบวกสนับสนุนราคาหลายเรื่อง ทั้งการซื้อหุ้นคืน และแนวโน้มการเติบโตของกำไรในระยะยาว นอกจากนี้ โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ถือหุ้นเกิน 3% ก็มีเพียงไม่กี่ราย หากผู้ถือหุ้นใหญ่ขายออกมาจริง เชื่อว่าจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ นักลงทุนจะต้องระวัง โดยเฉพาะรายที่ตามแห่เข้าไปเก็งกำไรเรื่องซื้อหุ้นคืน จะต้องได้รับความเสียหายมาก
นอกจากนี้บางจากฯจะมีหุ้นเพิ่มทุนล็อตใหญ่เข้ามาจากการแลกหุ้น บริษัท บางจาก ศรีราชา (BSRC) สูตร 1 หุ้นเพิ่มทุนของ BCP ต่อ 6.5 หุ้นของ BSRC ระหว่างวันที่ 24 ต.ค.- 27 พ.ย. 2568 เสร็จสิ้นแล้ว รวมถึงมีการเพิกถอนหุ้น BSRC และหุ้นเพิ่มทุน BCP จะเข้ามาซื้อขายในตลาดแทนวันที่ 12 ธ.ค. 2568

“หุ้นบางจากฯที่ร่วงลงมาแรง วันเดียว 3.75 บาท /หุ้น หรือ -13% ทำให้มาร์เก็ตแคปทรุดฮวบมากกว่า 5,163 ล้านบาท เหลือ 34,423.08 ล้านบาท จากวันก่อนอยู่ที่ 39,586.54 ล้านบาท และกดหุ้นลงมาซื้อขายที่ P/E 50 เท่า จากที่เทรดถึง 58 เท่า ถือว่าสูงมาก เทียบกับหุ้นโรงกลุ่มอื่นๆ เช่นบริษัทไทยออยล์ (TOP) ซื้อขายที่ 5.25 เท่า และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ที่ 15.58 เท่า”
ด้านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า BCP ปิดที่ 25 บาท (-13.04%) เบื้องต้นยังไม่มีปัจจัยเฉพาะกดดัน คาดหุ้นอ่อนตัวจากปัจจัยทางเทคนิค ขณะที่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากมุมมองไตรมาสที่ 4/2568 ยังแข็งแกร่ง และโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยจำกัด Downside
ส่วน SPRC ปิดที่ 5.90 บาท (+3.51%), TOP ปิดที่ 35.00 บาท (+2.19%) กลุ่มโรงกลั่นเริ่มฟื้นตัวตามราคาน้ำมันที่ชะลอการปรับลง และค่าการกลั่นที่ทยอยฟื้นตัว
หุ้นบางจากฯโด่งดังและนักลงทุนพร้อมตามแห่เข้าลุยไฟ หลังจากบริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี (ACE) ประกาศตัวว่าเก็บหุ้นได้มากถึง 275.5 ล้านหุ้น หรือ 20.0083% ของทุนชำระแล้ว ผงาดขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง แต่น่าประหลาดใจที่บริษัทฯไม่มีการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เปิดให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทราบโดยทั่วไป หากอ้างอิงข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 14 มี.ค. 2568 ยังคงปรากฎชื่อ กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง ถือมากที่สุด 273.17 ล้านหุ้น สัดส่วน 19.84% อันดับสองคือ สำนักงานประกันสังคมถือ 208.11 ล้านหุ้น สัดส่วน 15.11%
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ บริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ดฯได้หุ้น BCP ตั้ง 20% มาจากที่ไหน เพราะมีเพียงรายงานก.ล.ต.ว่าวันที่ 31 มี.ค. 2568 ได้ซื้อบิ๊กล็อตหุ้นจาก Capital Asia Investments Pte. Ltd. (กองทุนสิงคโปร์) จำนวน 43,381,200 หุ้น คิดเป็น 3.1505% ที่ราคาหุ้นละ 38.5 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,670 ล้านบาท และออกมาประกาศตัวว่าได้หุ้นมากถึง 20% เมื่อเดือนเม.ย. 2568 พร้อมส่งตัวแทน 2 คน นั่งกรรมการในบางจากฯ อาทิ นาย ณัฐกร อธิธนาวานิช ซึ่งเป็นพันธมิตรของอัลฟ่า ชาร์เตอร์ด ในประเทศไทย ที่ให้เหตุผลในการเข้าซื้อบางจากฯเพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตสูง หลังเข้าซื้อกิจการของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) พร้อมมีแผนที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพและผลักดันให้บางจากฯเติบโตในฐานะบริษัทพลังงานระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ วันที่ 29 พ.ย. 2568 สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อเร็วๆ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นประธาน ได้พิจารณากรณีขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติให้สินบนคณะกรรมการ หรือ ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานของรัฐเป็นคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยเชิญบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 7 บริษัท ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น, บริษัท บีซีพีจี (BCPG),บริษัท เอ็ม วิชั่น (MVP) ,บริษัท ฟินันเซีย เอกซ์,บริษัท แสนสิริ (SIRI) ,บริษัท กรีนเทค เวนเจอร์ (GTV) และบริษัท วีจีไอ(VGI) แต่ไม่มาร่วมชี้แจง
สำนักข่าวอิศรายังรายงานอีกว่า ขณะนี้ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบบจ. 7 บริษัท โดยจะมีการดำเนินการตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ที่เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การรายงานการเปิดเผยข้อมูลการออกหรือเสนอขายหลักทรัพย์ และการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ กำหนดแนวทางในการตรวจสอบ 3 ประเด็น ดังนี้
1. ตรวจสอบเรื่องการเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบจ.ที่ต้องสงสัย
2. ตรวจสอบเรื่องการถือหุ้นร่วมกับบุคคลอื่นหรือกระทำการอื่นใดอันเป็นผลหรือจะเป็นผลให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการรวมกัน 25% ขึ้นไป
3. ตรวจสอบเรื่องการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ
อ่านข่าวอื่นๆ : https://hoonsmart.com/archives/391060
———————————————————————————————————————————————————–

