HoonSmart.com>>”คิง เจน”(KGEN) หันเข้าหาธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หวังเพิ่มรายได้-กำไร โดยร่วมทุนกับ Chery Group เล็งร่วมงาน Motor Expo ชูรถ EV รุ่น J5 หวังยอดจองหลักหมื่นคัน ซึ่งจะเป็นรุ่นที่โรงงานผลิตจะทำก่อนในธ.ค.นี้ พร้อมจับมือ OR มีเครือข่ายซ่อมบำรุงกับ FIT Auto ทั่วประเทศ 110 สาขา วางเป้าอย่างน้อย 20 สาขาที่จะไปตั้งโชว์รูมข้าง ๆ ภายใน 6 เดือน
น.ส.พรทิพย์ ตรงกิ่งตอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง เจน (KGEN) เปิดเผยว่า ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มรายได้และกำไรแก่บริษัทฯ โดยการเข้าลงทุนในโครงการร่วมทุนกับ Chery Group ภายใต้บริษัทร่วมทุน 2 บริษัท ได้แก่ 1. บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) หรือ OJMT ซึ่งเป็นบริษัทที่จะดำเนินกิจการผลิตรถยนต์ภายใต้ OMODA และ JAECOO รวมถึงแบรนด์อื่น ๆ ภายใต้ Chery Group
2.บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) (OJST) ดำเนินกิจการจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์ OMODA และ JAECOO รวมถึงแบรนด์อื่น ๆ ภายใต้ Chery Group ซึ่งผลิตโดย OJMT และให้บริการหลังการขายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
“ KGEN ถือหุ้น 60% ในส่วนของการผลิต และส่วน Distributor เข้าไป JV ที่ 25% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้ให้บริการขนส่ง คือ โลจิสติกส์ ขนส่งทั้งสินค้า และผู้โดยสาร ในนามของบริษัทลูก”
น.ส.พรทิพย์ กล่าวถึงบริษัท มนตรี ทรานสปอร์ต ปัจจุบัน KGEN ถือหุ้นอยู่เกือบ 100% ปีนี้มีลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 5 ราย และมีการเพิ่มรถ EV และ รถบัสโดยสาร EV 100% มาให้ลูกค้าใช้บริการ เป็นนโยบายหลักที่จะช่วยลดโลกร้อน ลดคาร์บอน ใช้พลังงานสะอาดในธุรกิจของ”มนตรี ทรานสอร์ต”
ปัจจุบันได้ร่วมมือกับ OR มีเครือข่ายซ่อมบำรุง กับทาง FIT Auto ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 110 สาขา ทาง KGEN ได้เซ็น MOU ไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อร่วมมือต่อยอด นอกจากให้บริการรถ EV ยังร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรในเชิงเทคนิคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ EV และมองไปถึงขยายสถานี Charger เพื่อรองรับ EV เพราะรถตู้มีแบบคาร์โก้ และเป็นฟีตขนาดใหญ่ จึงต้องการพาร์ทเนอร์ที่สามารถรองรับตรงนี้ได้
นายนวพร เกียรติขจรวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน KGEN กล่าวว่า “รถ EV รุ่น J5 ได้รับผลตอบรับที่ดี อาจเป็นเพราะราคาดีเริ่มต้นที่ 549,000 บาท และมีการส่งมอบไปแล้ว 5,000 คัน คิดว่ายอดจองในงาน Motor Expo ที่จะไปจัด น่าจะได้รับเป็นหลักหมื่นคัน ดังนั้นโมเดลที่จะเริ่มผลิตก็จะเป็นตัวนี้ ที่จะผลิตและส่งมอบก่อน…โรงงานผลิตจะสามารถดำเนินการได้ในเดือนธ.ค.นี้”
“สาขาของ FIT Auto 110 สาขา คิดว่าจะมีอย่างน้อย 20 สาขาที่จะสามารถไปตั้งโชว์รูมข้าง ๆ ได้ทั้งขนาดใหญ่ และเล็ก ทำให้สามารถขยายดีลเลอร์ออกไปได้ ซึ่งเป็นเป้าภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้”
น.ส.พรทิพย์ กล่าวว่า แนวทางการแก้ไขเครื่องหมาย C ได้เริ่มแสดงผลในไตรมาส 3 จากการที่ KGEN ได้รับรู้ส่วนกำไรจากการลงทุนในธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายรถแบรนด์ OMODA และ JAECOO แม้ว่าในส่วนของโรงงานจะยังมีผลขาดทุนอยู่ แต่เป็นเพราะช่วงเริ่มต้นของโรงงานที่มีต้นทุนแต่ยังไม่ได้มีรายได้จากการขายรถเกิดขึ้น ในอนาคตเมื่อเริ่มผลิตและจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วก็จะช่วยให้ KGEN รับรู้กำไรจากทั้ง 2 ธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายรถ OMODA และ JAECOO
ทั้งนี้ ความเสี่ยงและอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น ธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า เป็นความเสี่ยงจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดในนโยบาย EV 3.5, ความเสี่ยงอันเนื่องจากแผนการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าไม่เป็นตามที่คาดการณ์, สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศไทย ทำให้กำลังซื้อรถลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และการกำหนดราคารถไฟฟ้าตามนโยบายภาครัฐอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KGEN กล่าวว่า สาเหตุที่มาของปัญหาจนทำให้ถูกขึ้นเครื่องหมาย C เนื่องจาก 1. KGEN มีผลขาดทุนสะสมยกมาจากปี 2565, 2566 และปี 2567 โดยมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นดังนี้ ผลการขาดทุนสะสมจากการทำธุรกิจด้านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ในอดีตธุรกิจสื่อวิทยุและโทรทัศน์เดิมของ KGEN (เดิมชื่อ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น มีผลกระกอบการที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยผลการขาดทุนสะม ณ สิ้นปี 2565 เท่ากับ 1,062.28 ล้านบาท จากงบการเงินเฉพาะกิจการของ KGEN
2. การเพิ่มโครงสร้างการทำธุรกิจไปทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์ โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่ได้มีนโยบายที่จะให้บริษัทเปลี่ยนไปดำเนินธุรกิจด้านการขนส่งโลจิสติกส์แทน ทำให้บริษัทได้ขายธุรกิจสื่อวิทยุและโทรทัศน์เดิม และเปลี่ยนไปดำเนินธุรกิจด้านการขนส่งบุคคลและขนส่งเชิงพาณิชย์แทน, KGEN ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้น บริษัท มนตรีทรานสปอร์ต เพื่อดำเนินธุรกิจขนส่งบุคคล นอกจากนั้น ได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจขนส่งเชิงพาณิชย์โดยการเข้าลงทุนในบริษัท วารุกะ 888 และก่อตั้งบริษัท มนตรี แคริเออร์
3.การเพิ่มโครงสร้างการทำธุรกิจไปทำธุรกิจด้านรถไฟฟ้า EV ซึ่งการทำธุรกิจด้านรถไฟฟ้า ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาการเงิน ค่าที่ปรึกษาการเงินอิสระ ค่าที่ปรึกษากฏหมาย ค่าประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกิจด้านรถไฟฟ้าดังกล่าวยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ ทำให้ยังไม่มีรายได้จากธุรกิจใหม่ดังกล่าว
