HoonSmart.com>>”หุ้นสมาร์ท”เปิดงบบริษัทประกันวินาศภัยในตลาดหลักทรัพย์ฯ 10 บริษัท กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกรวม 7,686.55 ล้านบาท ลดลง 9.63% ผลจากต้นทุนค่าสินไหมแผ่นดินไหว-การแข่งขันด้านราคา ด้านบริษัทขนาดใหญ่มีรายได้อื่น+ลงทุนหนุน
บริษัทประกันวินาศภัย ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 10 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล (AYUD) บริษัทแม่ของบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ,บริษัทบีเคไอ โฮลดิ้ง (BKIH) บริษัทแม่ของบริษัทกรุงเทพประกันภัย ,บริษัททิพย กรุ๊ป โฮลดิ้ง (TIPH) บริษัทแม่ของบริษัททิพยประกันภัย ,บริษัทไทยกรุ๊ป โฮลดิ้ง (TGH) บริษัทแม่ของบริษัทอินทรประกันภัย ,บริษัทไทยวิวัฒน์ โฮลดิ้ง (TVH) บริษัทแม่ของบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ ,บริษัทเมืองไทยประกันภัย (MTI),บริษัทนวกิจประกันภัย (NKI),บริษัทไทยรับประกันภัยต่อ (THRE),บริษัทบางกอกสหประกันภัย (BUI) และบริษัทอินทรประกันภัย (INSURE) พบว่า มีกำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 2568 รวมกัน 7,686.55 ล้านบาท ลดลง 9.63% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2567

สาเหตุหลัก มาจากต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านค่าสินไหมทดแทนจากภัยแผ่นดินไหวที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงมากเป็นประวัติการณ์ ขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2569 และเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาเบี้ยประกันภัย ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก จะได้รับผลกระทบต่อกำไรมากสุด
ขณะที่ บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นโฮลดิ้ง จะมีรายได้อื่นๆ เช่น การควบคุมต้นทุนด้วยการนำเทคโนโลยีเข้าช่วยในการดำเนินงาน และรายได้จากการลงทุนเข้ามาเสริม ทำให้กำไรไม่ลดลงมากนัก แม้รายได้จากการรับประกันภัยจะลดลงจากค่าสินไหมทดแทนภัยแผ่นดินไหวที่เพิ่มขึ้น
บริษัท AYUD รายงานกำไรสุทธิ 2,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.5% จากปีก่อน ผลจากการบริหารความเสี่ยงและรายได้เบี้ยประกันที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ TGH พลิกฟื้นอย่างโดดเด่น กำไรพุ่งกว่า 81.7% แตะ 1,095 ล้านบาท จากการปรับโครงสร้างธุรกิจและการขยายฐานลูกค้า ส่วน TVH ก็ยังรักษาการเติบโตได้ต่อเนื่อง กำไรเพิ่มขึ้นกว่า 22%
NKI ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ งวด 9 เดือนแรกของปีนี้ ขาดทุนกว่า 389 ล้านบาท จากปีก่อน ที่ขาดทุนสุทธิ 21 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นกว่า 1,700% แม้ไตรมาส 3 ของปี 2568 จะพลิกจากขาดทุนมีกำไรสุทธิ 29.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 205.19% ผลจากรายได้สัญญาประกันภัยต่อเพิ่มขึ้น
ในทางกลับกัน BKIH ยังมีกำไร แต่กำไรลดลงกว่า 11% และ THIP ยังมีกำไร แต่กำไรลดลง 28% ธุรกิจประกันภัยหลักยังเผชิญแรงกดดันจากภาวะตลาดและต้นทุนค่าสินไหมมหันตภัย แต่รายได้จากการลงทุนและการเติบโตของบริษัทย่อยยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญต่อผลประกอบการโดยรวม
MTI ยังมีกำไร แต่กำไรหดตัวกว่า 78% จากค่าใช้จ่ายในการบริการประกันภัยที่สูงขึ้น ซึ่งภัยแผ่นดินไหวยังกดดัน
ขณะที่ THRE และ BUI ยังมีกำไร แต่กำไรลดลงกว่า 50% จากผลกระทบภัยพิบัติและรายได้จากการลงทุนที่ชะลอตัว
INSURE เผชิญแรงกดดันหนักที่สุด กำไรลดลงกว่า 95% เหลือเพียง 7 ล้านบาท สะท้อนการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนเคลมที่สูงเกินรายได้
จะเห็นว่า บริษัทที่ยังพึ่งพารายได้เดิมและไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้ จะเผชิญแรงกดดันต่อไป ขณะที่บริษัทที่สามารถบริหารความเสี่ยงและสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่จะมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัท ไทยอินชัวรันส์รีเสิร์ช แอนด์ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (TIRD) ระบุว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยสำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 217,121 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการ เพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ และประกันภัยอัคคีภัย
