HoonSmart.com>>แบงก์ชาติฉายภาพรวมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 3/68 สินเชื่อยังคงหดตัว 1% ใกล้เคียงไตรมาสก่อน จากลูกค้า SMEs-สินเชื่ออุปโภคบริโภค ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเล็กน้อยจากการคืนหนี้เพิ่มขึ้น ด้านคุณภาพหนี้ทรงตัว หนี้เสียใหม่ ชะลอลงเป็นสำคัญ ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ลดลงมาอยู่ที่ 544,000 ล้านบาท สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% ด้านธุรกิจเกือบทุกประเภทมีความสามารถทำกำไรลดลง โดยเฉพาะอสังหาฯตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัย

นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/2568 ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ขณะที่สินเชื่อทั้งระบบ (รวมเครือ) ยังหดตัวอยู่ที่ -1.0% ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า จากสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเล็กน้อย จากความต้องการลดลง มีการชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้น
ด้านคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3 ) ในภาพรวมค่อนข้างทรงตัว จาก New NPL ที่ชะลอลงเป็นสำคัญ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ลดลงมาอยู่ที่ 544,000 ล้านบาท สำหรับสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% ส่วนหนึ่งจากผลของฐานสินเชื่อที่หดตัว สำหรับสินเชื่อ Stage 2 เพิ่มขึ้น ตามการจัดชั้นเชิงคุณภาพจากปัจจัยเฉพาะรายของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งจากการปรับชั้นดีขึ้นของ NPL ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.24% แต่ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง ตามการหดตัวของสินเชื่อ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ ทั้งจากการปรับลดโดยธนาคาร และตามมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย”
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า
นายสมชาย ยังกล่าวถึงโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ว่า มีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 86.8% ต่อจีดีพี ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน ซึ่งอยู่ที่ 87.1% ต่อจีดีพี เป็นผลจากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงเป็นสำคัญ ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการก่อหนี้ที่ลดลงเป็นสำคัญ
ด้านความสามารถในการทำกำไรลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเกือบทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัว

