กกร.- 6 ภาคี จับมือหยุดคอรัปชัน 5 แสนลบ. ฟื้นเชื่อมั่น-ลดต้นทุน-ดันจีดีพี

HoonSmart.com>>กกร.ตั้ง”คณะทำงาน Zero Corruptio:กกร.และเพื่อน ไม่ทน” จับมือกับ 5 ภาคีเครือข่ายครอบคลุม 80-90% ของเศรษฐกิจไทย ต่อต้านคอรัปชัน ทำชาติเสียหาย 5 แสนล้านบาทต่อปี ผ่าน 6 แผน Quick Impact สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุนและประชาคมโลก ก่อนประชุม IMF–World Bank Annual Meetings ปี 2569

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ร่วมกับภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคมและสถาบันวิชาการ ประกาศจุดยืนครั้งสำคัญในการต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการจัดตั้งคณะทำงาน “Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” ที่เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Reinvent Thailand ที่มุ่งยกระดับขีดความสามารถของประเทศ

เริ่มจากการแก้ไขอุปสรรคสำคัญที่สุดคือ คอร์รัปชันและประสิทธิภาพภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและคู่ค้าต่างชาติ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลก ผ่านแผน Quick Impact 6 ด้าน ในช่วง 6 เดือนแรกจะมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลชัดเจน และจะมีการนำเสนอแผนดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป ได้แก่

1. ปลูกฝังจิตสำนึก ด้วยการรณรงค์เลือกตั้งสุจริต ไม่เลือกคนที่มีประวัติคดโกงและปฏิเสธการซื้อเสียง,ไม่จ่ายใต้โต๊ะ เน้นธุรกิจเติบโตด้วยความรับผิดชอบต่อลูกค้า สังคมและสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้เรื่องหยุดสแกมเมอร์-ทุนเทา ก่อนชาติล่มจม

2. นโยบายต่อต้านการทุกจริตในองค์กร ผลักดันธุรกิจเข้าร่วมแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) , ปฏิเสธรับและจ่ายสินบน, ปฏิรูปกฎหมายเร่งด่วน หรือกิโยตินกฎหมาย,ประกาศสิ่งที่รัฐบาลต้องทำเพื่อให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และ Open Government Partnershi (OGP) เพื่อนำเสนอในการประชุมผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกที่ไทยเป็นเจ้าภาพในการประชุมปี 2569

3. ระบบบริหารความเสี่ยง ประกาศ “10 สินบนที่ไม่ยอมทนอีกต่อไป” เพื่ออัพเดทปัญหาสินบนใบอนุญาตต่างๆ ด้วยการสำรวจภาคีเครือข่ายของ กกร., ติดตามและเสนอดัชนีสภานการณ์คอรัปชั่นไทย (CSI/CPI) อย่างต่อเนื่อง

4. การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ผลักดันให้รัฐเปิดผยข้อมูลตาม Open Data 25 ชุดตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ตรวจสอบได้โดยบุคคลภายนอก

5. เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส ร่วมกันใช้ฐานข้อมูล ACT Ai ขององค์กรต่อต้านคอรับปชัน เพื่อตรวจสอบทุจริตในกรณีต่างๆ

6. แนวทางการร้องเรียนและคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล รณรงค์ “เรียกรับ…เราร้อง”ผ่าน แชต “ฟ้องโกงทันใจ”เพื่อให้ประชาชนและนักธุรกิจไทย-ต่างชาติแจ้งเบาะแสโดยไม่ถูกคุกคามเหมือนในอดีต

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น กล่าวว่า มูลค่าการทุจริตคอรัปชันทั้งระบบประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี โดยการเรียกรับสินบนเพื่ออำนวยความสะดวก ยังคงเป็นปัญหาหลักที่สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนและนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งสร้างความไม่เท่าเทียมและบั่นทอนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เฉพาะในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ปีละกว่า 200,000–300,000 ล้านบาท,ในโครงการก่อสร้างราชการที่ถูกทิ้งร้างทั่วประเทศมีมูลค่าความสูญเปล่ารวมกว่า 100,000 ล้านบาท ไม่มีหน่วยงานหรือผู้อนุมัติรับผิดชอบต่อโครงการที่ล้มเหลว หน่วยงานตรวจสอบไม่ลงโทษ ซึ่งเป็นคำถามที่รัฐสภาและกรรมาธิการงบประมาณในฐานะกำกับดูแลต้องตอบ

นอกจากนี้ ยังมีการคอร์รัปชันรูปแบบอื่นยังคงฝังรากลึก ทั้งการซื้อขายตำแหน่งในราชการ ,การรีดไถเพื่อให้ได้สิทธิหรือสัมปทาน และการสมยอมระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และภาคธุรกิจ

ทั้งนี้ มั่นใจว่าการดำเนินการประกาศ “10 สินบนหนักของประเทศไทย” ที่จะมีการระบุหน่วยงานและรูปแบบคอร์รัปชันที่ประชาชนและธุรกิจเผชิญมากที่สุด การเปิดช่องทางร้องเรียนภายใต้โครงการ “เรียกรับ…เราร้อง”ให้ประชาชนและภาคธุรกิจแจ้งเหตุรีดไถและการกลั่นแกล้ง จะช่วยลดการคอรัปชั่นลงได้

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า องค์กรและภาคีเครือข่ายที่เข้าร่วมต่อต้านคอรัปชันในครั้งนี้คิดเป็น 80-90% ของเศรษฐกิจไทย และจะเดินหน้าหาแนวร่วมเข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพราะปัญหาคอรัปชัน เป็นเรื่องที่ทุบเศรษฐกิจไทย เป็นต้นทุนแฝงที่ทำให้ภาคธุรกิจไทยไม่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และทำให้ประชาชนซื้อสินค้าและบริการในราคาที่แพงขึ้น

ปัจจุบัน ต้นทุนจริงบวกกับต้นทุนแฝงคิดเป็น 48% ของจีดีพี โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างถูกเรียกเก็บเพิ่ม 20-30% และโครงการอื่นๆ อีกประมาณ 10% ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยถอยหลัง

ปี 2568 คาดว่า จีดีพี จะโตอยู่ประมาณ 2% ซึ่งความจริงควรจะโต 4% แต่ที่หายไป 2% หรือครึ่งหนึ่งที่หายไป นั่นคือคอรัปชัน และก่อให้เกิดความเสียหายที่วัดและตีราคาไม่ได้ คือ ความเชื่อมั่น ซึ่งไทยในสายตาประชาคมโลก เป็นประเทศที่มีการคอรัปชันสูง ความน่าเชื่อถือตกต่ำ ความโปร่งใสไม่มี นี่คือต้นทุนที่วัดไม่ได้

วันนี้ กกร.และเพื่อน จะร่วมกันผลิต “ความโปร่งใส” เป็นมาตรฐานใหม่ของธุรกิจ เพื่อยกระดับศักยภาพด้านดิจิทัล นวัตกรรม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นจากประชาคมโลก

นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ไทยเผชิญความท้าทาย 3 ด้านหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจนอกระบบสูงเป็นลำดับต้นๆ ในเอเชีย ราว 48% ของ GDP และหนี้ครัวเรือนเมื่อรวมหนี้นอกระบบ เกิน 100% ของ GDP,การเติบโตตามหลังประเทศเพื่อนบ้านเพราะขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใบใหม่ และกฎระเบียบของภาครัฐที่มีมากกว่า 100,000 ฉบับ ที่ล้าสมัยและข้อมูลไม่เชื่อมโยงกัน

ทางสมาคมธนาคารไทย พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการต่อต้านคอรัปชัน ผ่านการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องโปร่งใส ยกระดับความสามารถการแข่งขันของประเทศ สอดคล้องกับแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล และการปฏิรูปในหลายด้านเพื่อเข้าร่วม OECD และการเป็นโชว์เคส การขับเคลื่อนประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มนักลงทุนและประชาคมโลกในโอกาสที่ไทยเป็นเจ้าภาพประชุมผู้ว่าการการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก IMF-WBG Annual Meetings ปี 2569

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีคอร์รัปชัน (Thai CSI) ล่าสุดเดือนมิถุนายน 2568 พบว่า ดัชนีรวมลดลงเหลือ 36 สะท้อนสถานการณ์คอร์รัปชันแย่ลง

ขณะที่ 87% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าปัญหาทุจริต “รุนแรงขึ้น” และ 74% คาดว่าจะรุนแรงขึ้นอีกในปีหน้า แต่มีสัญญาณบวก ระดับการยอมรับการทุจริตลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ (0.92/10) แสดงว่าสังคมไทยไม่ทนต่อการทุจริตอีกต่อไป
พร้อมเสนอว่า ควรทำการตรวจสอบนักการเมือง,ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส และนโยบายเศรษฐกิจที่แข่งขันได้อย่างเท่าเทียม

สำหรับข้อเสนอเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการมากที่สุด คือ “การตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง” (11.5%) และ “สนับสนุนให้เครือข่าย/ภาคธุรกิจ/ภาคประชาชนในการตรวจสอบ” (11.5%) ขณะที่กลยุทธ์สำคัญที่รัฐควรให้ความสำคัญอันดับแรก คือ “การสร้างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส ตรวจสอบได้โดยบุคคลภายนอก” (22.9%) และ “การวางนโยบายเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างโปร่งใสและเท่าเทียม” (22.1%)

ผลดัชนี CSI ที่ปรับตัวลดลงครั้งนี้สะท้อนวิกฤตความเชื่อมั่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่ดัชนีย่อยทั้งด้านการป้องกัน การปราบปราม และความรุนแรงของปัญหา แย่ลงพร้อมกันทั้งหมด สิ่งที่น่ากังวลคือความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตอยู่ในระดับต่ำมาก ในทางกลับกันความเชื่อมั่นต่อพลังของภาคประชาชนและสื่อมวลชนกลับเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐจึงต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองโดยการ ‘บังคับใช้กฎหมาย’ อย่างจริงจัง และสร้าง ‘กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส’ เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาโดยด่วน

นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาคอรัปชัน กระทบทุกมิติ ทั้งตลาดทุน ตลาดเงิน และเศรษฐกิจ ในส่วนของตลาดทุน กระทบต่อต้นทุนของบริษัทจดทะเบียน ศักยภาพการแข่งขัน และกระทบต่อความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยปี 2569 ตลท.จะยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ในส่วนของการทำหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบ

สำหรับ หน่วยงานที่เข้าร่วมต่อต้านการคอร์รัปชัน สร้างประเทศไทยโปร่งใสแข่งขันได้ นอกจากความร่วมมือ 3 หน่วยงาน ภายใต้ กกร. แล้ว ยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายสำคัญ ได้แก่ 1. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันแห่งประเทศไทย (ACT)2.แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) 3.สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ)

4.หน่วยงานวิชาการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบาย ระบบ และกลไก ที่นำไปสู่สังคมโปร่งใสและตรวจสอบได้ และกำหนด Action Plan

5.กลุ่มหน่วยป้องกันและปราบปราม เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อเชื่อมโยงสู่การบังคับใช้กฎหมายเชิงระบบ

6.เครือข่ายสนับสนุนจากภาคเอกชน เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย, หอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย และภาคีเอกชนอื่น ๆ ที่พร้อมช่วยประชาสัมพันธ์โครงการของเรา เช่น สมาคมการค้า อาทิ สมาคมตลาดสดไทย, สมาคมผู้ค้าปลีกไทย, สมาคมโรงแรมไทย และสมาคมภัตตาคารไทย เป็นต้น

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–