HoonSmart.com>>3 องค์กร ส่งสัญญาญเทคโนโลยีดิจิทัล คือทางรอด เพิ่มความแม่นยำ-ลดต้นทุน-เสริมพลังตัวแทน-เข้าถึงตลาดใหม่-จับฉ้อโกงเร็ว พร้อมวางมาตรฐานการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ด้านคปภ.พร้อมเปิดพื้นที่ทดสอบนวัตกรรม
ในงาน InsurTech Summit 2025 ช่วงเสวนา หัวข้อ Adapting Together : When Digital Is the Only
Way Forward โดยตัวแทนจาก 3 องค์กรภาครัฐและเอกชน ดำเนินรายการโดย ผศ. ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปรับบทบาทสู่การเป็นสถาปนิก ผู้ออกแบบระบบนิเวศใหม่ของธุรกิจประกันภัยไทย เพื่อสร้างระบบประกันภัยที่มั่นคง ยืดหยุ่น และตอบสนองต่อความท้าทายระดับโลกได้ ภายใต้ 3 มิติหลัก ได้แก่ ธุรกิจประกันภัย ประชาชน และหน่วยงานกำกับดูแล
ในมุมธุรกิจประกันภัย เร่งยกระดับการกำกับดูแลให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการใช้แนวทาง “By Supervision” ที่เน้นการประเมินความเสี่ยงเชิงระบบ ผ่านการส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถประเมินความเสี่ยงของตนเอง,การกำกับแบบยืดหยุ่นสำหรับผู้มีศักยภาพ เข้มงวดกับผู้ที่มีความเสี่ยง เพื่อรองรับการร่วมทุนและการขยายธุรกิจข้ามพรมแดน
ในมุมของประชาชน เน้นสร้างความเข้าใจเพื่อความมั่นใจ ผ่านการใช้เครื่องมือดิจิทัลและเครือข่ายตัวแทนกว่า 500,000 คนทั่วประเทศในการส่งต่อความรู้,ปรับบทบาทของตัวแทนจากเน้นขาย เป็นผู้ที่ให้คำปรึกษาด้วย
ในมุมของคปภ.เอง ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล ได้ปรับตัวสู่ Digital Insurance Regulator ทำงานร่วมกับ InsurTech และภาคเอกชน ปรับกฎระเบียบให้มีความยืดหยุ่นและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจและ เปิดพื้นที่ให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
นางมยุรินทร์ แสดงความกังวลต่อการนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมประกันภัย แม้จะมีประโยชน์มหาศาลตั้งแต่การขาย การดำเนินงาน ไปจนถึงการบริการลูกค้า แต่หากขาดการกำกับที่เหมาะสม ก็อาจนำไปสู่การฉ้อโกงและส่งผลกระทบด้านลบได้อย่างรวดเร็ว
คปภ. จึงเร่งจัดทำมาตรฐานขั้นต่ำและกลไกประเมินความสมบูรณ์ของระบบ โดยเฉพาะด้านข้อมูล (Data) และแนวทางการใช้ AI ที่ต้องมีความเข้มข้นและโปร่งใส เพราะยุคนี้ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด ในการออกแบบประกันที่เหมาะสม
รวมถึง พัฒนาบุคลากรทั้งของคปภ.,ธุรกิจ และประชาชน โดย สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูงได้ถูกยกระดับให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และวิจัย เพื่อให้ธุรกิจที่มีความพร้อมไม่เท่ากันสามารถเข้ามาเรียนรู้และเชื่อมเครือข่ายได้
“มองว่าอนาคตของอุตสาหกรรมประกัน ไม่สามารถขับเคลื่อนโดยภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการบูรณาการระหว่าง คปภ., ธุรกิจ เทคโนโลยี และประชาชน การออกแบบระบบนิเวศใหม่จึงต้องมีความยืดหยุ่น โปร่งใส ซึ่งคปภ.ได้เปิดพื้นที่ให้เกิดการทดลองนวัตกรรมมากขึ้น”นางมยุรินทร์ กล่าว
นางนุษรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความตระหนักด้านสุขภาพหลังโควิด-19 กลายเป็นแรงผลักสำคัญ ผู้บริโภคเริ่มเข้าใจถึงความจำเป็นของการมีประกันสุขภาพ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น
โดยมีงานวิจัย ระบุว่า Medical Inflation พุ่งสูงถึง 15% ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะอยู่ที่ 14% ในปีนี้ รวมถึงความกังวลเรื่องคุณภาพชีวิตระยะยาว ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับ Health span มากกว่า Life span ทำให้ประกันได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ช่องทางดิจิทัลก็เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ฐานยังเล็ก แต่การนำ e-application, e-policy และ e-endorsement มาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการให้บริการ จากกลุ่มกลุ่ม Gen Y และ Gen C เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาโต 5% เกินความหมาย
ขณะเดียวกัน ธุรกิจประกันชีวิต ก็มีความกังวลเรื่องการใช้สิทธิ์ในทางที่ผิด (fraud and abuse) ทำให้ธุรกิจต้องพัฒนาโมเดลการเคลมที่พิจารณาความจำเป็นทางการแพทย์อย่างรอบด้าน,ปรับการพิจารณารับประกันภัย (Underwriting) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในเคสขนาดเล็ก ซึ่ง AI ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดต้นทุน
วันนี้ AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเรื่องการทำงาน ตั้งแต่การตอบอีเมล ไปจนถึงการวิเคราะห์เอกสารและการพิจารณารับประกัน,ช่วยเรื่องการบริการ ควบคู่กับตัวแทน เป็นแนวทาง Hybrid ,ช่วยให้ตัวแทนจัดการข้อมูล
ที่สำคัญ จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มคนที่ยังเข้าไม่ถึงประกันภัย ซึ่งยังมีอีกเป็นจำนวนมาก
นางนุสรา กล่าวว่า การเข้ามาของ AI อาจทำให้พนักงานกังวลเรื่องตกงานและการปรับตัว ผู้บริหารต้องทั้ง Push and Pull ควบคู่กับ Empathy เพื่อผลักดันให้พนักงานทุกระดับเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมาก ในการทำให้ทุกคนเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลง
แม้ AI จะช่วยตรวจจับความผิดปกติได้แม่นยำขึ้น แต่คำถามสำคัญคือ “เราจะเชื่อมันได้แค่ไหน” การใช้งาน AI ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
เทคโนโลยีดิจิทัลทางรอด
ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า “ดิจิทัลไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด”ของอุตสาหกรรมประกันภัย เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นเงื่อนไขขั้นต่ำที่ทุกองค์กรต้องมี และการพัฒนาเทคโนโลยีต้องมุ่งเน้นไปที่การยกระดับคุณภาพชีวิตในมิติต่าง ๆ ทั้งสุขภาพ การเงิน และการรับมือภัยพิบัติ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้บริโภค
เทคโนโลยี จะเป็นประตูสู่ “Inclusive Insurance” ทำให้กลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงระบบประกันภัยสามารถเข้าถึงได้ และเข้าถึงได้ทุกระดับ ตั้งแต่บุคคล ครอบครัว ไปจนถึงชุมชน จากเดิมที่ตัวแทนจะเน้นเข้าหากลุ่มที่มีกำลังซื้อ
นายสมพร กล่าวว่า AI ไม่ได้มาแทนมนุษย์ แต่เข้ามา เสริมพลังให้การทำงานมีประสิทธิภาพ สนุก และแม่นยำยิ่งขึ้น เข้ามาเปลี่ยนห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ระบบต้นน้ำ ช่วยค้นหาลูกค้าใหม่ และช่วยตัวแทนทำงานได้เร็วขึ้น,ธุรกิจสามารถออกแบบกรมธรรม์เฉพาะบุคคล (Personalized Policy) ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและงบประมาณของแต่ละคน ,ช่วยผูกติดไปกับบริการ เช่น การเดินทาง การซื้อสินค้า หรือบริการสุขภาพ
กลางน้ำ AI เข้ามาช่วยคำนวณเบี้ยประกันได้ภายในวันเดียว จากเดิมที่ใช้เวลาหลายสัปดาห์,ช่วยกำหนดตั้งราคาและออกแบบความคุ้มครอง จากจ่ายเมื่อเกิดเหตุเป็นเตือนก่อนเกิดเหตุและบริหารความเสี่ยงเชิงรุกในระดับบุคคล
ปลายน้ำ ช่วยประเมินความเสียหายจากภาพถ่ายหรือวิดีโอได้ทันที พร้อมคำนวณค่าซ่อม โดยที่ลูกค้าสามารถเคลมเองได้ และรับเงินชดเชยได้เร็ว,การจ่ายสินไหมก็แม่นยำและรวดเร็วขึ้น
ทำให้ธุรกิจใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น จากระบบแจ้งเตือนและการดูแลเชิงรุกช่วยสร้างความไว้วางใจและความผูกพัน สร้างประสบการณ์ลูกค้าในรูปแบบใหม่
“อนาคตของประกันภัยไม่ใช่แค่เรื่องของการจ่ายเงินเมื่อเกิดเหตุ แต่จะเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเกิดขึ้นตั้งแต่แรก”นายสมพร กล่าว
