HoonSmart.com>>ในปี 2568 ตลาดหุ้นหลายประเทศสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเพิ่งปิดเหนือ 47,000 จุดเป็นครัั้งแรก เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีหุ้นต่างประเทศอยู่ในพอร์ตเลย บล.บัวหลวงมองว่ายังไม่ตกขบวนเสียทีเดียว แนะกลยุทธ์และจังหวะเข้าซื้อในไตรมาส 4 คาดหุ้นโลกมีโอกาสปรับฐาน ถ้าปรับตัวลง 5-10% ก็น่าสนใจ เพราะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ แต่หากไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อหุ้นของประเทศไหนดี แนะนำอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ…

“พีรณัฐ ยืนยงพิสิฐ” หัวหน้าส่วนธุรกิจหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.บัวหลวง ให้สัมภาษณ์ “หุ้นสมาร์ท”ว่า บล.บัวหลวงได้ออกกองทุนส่วนบุคคล จัดพอร์ตลงทุนต่างประเทศอัตโนมัติ ด้วยกลยุทธ์ DR Global Index อ้างอิง ETF ดัชนีหุ้นต่างประเทศล้วนๆ มีการบริหารความเสี่ยงกระจายในตลาดหลายแห่ง เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง เวียดนาม ญี่ปุ่น ใช้ระบบและเทคโนโลยีในการคัดสรร การวิเคราะห์ มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตอัตโนมัติตามสภาวะตลาดได้ตลอด กองทุนสามารถถือเงินสดได้ตั้งแต่ 0%ถึง 100%
กองทุนส่วนบุคคลกองนี้มีความพิเศษ ออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5 แสนบาท แบบดั้งเดิมอาจจะต้องใช้เงินลงทุนมากถึง 5-10 ล้านบาท นอกจากนี้ยังคิดค่าคอมมิชชั่นเท่ากับหุ้นเพียง 0.25% ของมูลค่าการซื้อขายรวม มีการยกเว้นค่าบริหารจัดการจนถึงปี 2569 และไม่คิดค่าผลตอบแทน กรณีมีกำไรหักออก 10-15% ที่สำคัญลูกค้าสามารถถอนเงินคืนได้ทุกวันทำการ ไม่มีการล็อกช่วงเวลาในการลงทุน ของเดิมอาจจะมีการห้ามขายภายใน 1 ปี
“DR Global Index สินทรัพย์เป็นหุ้น 100% กระจายลงทุนในหุ้นหลายร้อยตัว ใช้ระบบ และเทคโนโลยี ดูเรื่องปัจจัยพื้นฐาน และภาพรวมเศรษฐกิจ มีการคำนวณน้ำหนัก บนระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความผันผวนน้อยกว่าหุ้นรายตัว จะดีมากสำหรับนักลงทุนที่มีเงินเย็นทิ้งไว้ลงทุนระยะยาว ก็สามารถบริหารเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแบบ natural Hedging ได้ เพราะค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐจะแกว่งภายในกรอบ ในปีนี้อาจจะขาดทุนค่าเงิน ปีหน้าก็พลิกกลับมามีกำไร ผลตอบแทนโดยรวมจะดีกว่ากองทุนที่มีการซื้อป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 2-3% ของพอร์ตต่อปี”
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.-21 ต.ค.2568 ลูกค้าได้ผลตอบแทนประมาณ 7%
DR อ้างอิงเวียดนามยังน่าลงทุน
บล.บัวหลวงเป็นผู้นำในการออก DR ตัวแรกของไทยชื่อ E1VFVN3001 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2561 อ้างอิงกับ ETF ดัชนี VN30 มีหุ้น 30 ตัวขนาดใหญ่ของตลาดหุ้นเวียดนาม คล้าย SET 50 ของไทย มูลค่า 4,500 ล้านบาท นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ผลตอบแทนดีมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารวม 120%
ส่วน FUEVFVND01 มูลค่า 6,000 ล้านบาท อ้างอิง VN DIMON หุ้นที่มีการเติบโตประมาณ 17-18 ตัว ให้ผลตอบแทนสูงถึง 175% เฉพาะปี 2568 เพิ่มขึ้น 45% เกิดจากกลุ่มวินกรุ๊ป โฮลดิ้งใหญ่ที่สุดในเวียดนาม เน้นธุรกิจหลากหลาย ค่อนข้างเป็นห่วง เพราะขึ้นมาจากการเล่นเก็งกำไร ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน กำไรยังไม่ขึ้นมาเลย
” DR อ้างอิงดัชนีและหุ้นเวียดนาม ปรับตัวขึ้นมามามาก เกิดจากกระแสข่าวการอัพเกรดขึ้นมาเป็นตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market โดย FTSE Russell ซึ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ก.ย. 2569 เพราะเป็นตลาดชายขอบที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่ที่สุด ประมาณ 12 ล้านล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นไทย มีมูลค่า 15-16 ล้านล้านบาท นอกจากนี้เวียดนามยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันเข้าไปลงทุนได้สะดวกขึ้น ก่อนหน้านี้จะต้องมีเงินสดในบัญชีก่อนถึงจะลงทุนได้ และยังมีสตอรี่ให้เล่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา GDP เติบโตเฉลี่ยปีละ 7-8%ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และยังคงเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ไทยโต 2-3% แนวโน้มกำไรบจ.เวียดนาม ปี 2568 น่าจะโต 17% ปีหน้าขยายตัว 19% ปีถัดไป 18% ระยะยาวโต 15-20%”
อย่างไรก็ตาม การจัดพอร์ตจะต้องพิจารณาตลาดประเทศอื่นด้วย หากดูน้ำหนักของดัชนีหุ้นโลก ประเทศที่มีขนาดใหญ่ก็มีน้ำหนักมากกว่า เช่น สหรัฐฯ แต่เวียดนามมีขนาดเล็ก เพื่อกระจายความเสี่ยงน่าจะลงทุนไม่ควรเกิน 10-15% ของพอร์ต DR E1VFVN3001 เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากเป็นประเทศที่กำลังเติบโต และจะมีฟันด์โฟลว์ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท รอไหลเข้าตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อใกล้ถึงวันที่ยกระดับเป็นตลาดเกิดใหม่ 21 ก.ย.2569 ซึ่งจะมีผลให้ DRอ้างอิงเวียดนามใหญ่ยิ่งขึ้น ปัจจุบันตลาด DR มีมูลค่ามากถึง 5 หมื่นล้านบาท เฉพาะ DR เวียดนาม ประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะลงทุนแบบ “Core & Satellite” โดยจัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ประมาณ 70-80% ในการลงทุนผ่านดัชนีในหลายๆ ประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว และจัดสรรเงินลงทุนส่วนที่เหลือ (Satellite) ลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น
