HoonSmart.com>>”เดลต้า อีเลคโทรนิคส์” (DELTA) เปิดกำไรไตรมาส 3/68 โตแตะ 7,411 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 60.8% และเติบโต 25.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน กวาดยอดขายสินค้าและบริการ 53,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.1% กลุ่มธุรกิจเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่มโซลูชั่นระบบอัตโนมัติเติบโตแข็งแกร่ง รับดีมานด์ AI-ด้าต้าเซ็นเตอร์หนุน งวด 9 เดือน กำไร 17,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.62%
บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 กำไรสุทธิ 7,441.37 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.60 บาท เพิ่มขึ้น 25.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 5,910.89 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.47 บาท
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2568 กำไรสุทธิ 17,558.56 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.41 บาท เพิ่มขึ้น 4.62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 16,783.43 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.35 บาท
บริษัทฯ มียอดขายสินค้าและบริการในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 53,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.1% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและเติบโต 19.6% จากไตรมาสที่แล้ว ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นจากการขับเคลื่อนโดยกลุ่มธุรกิจเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่มโซลูชั่นระบบอัตโนมัติ โดยสินค้าหลักระบบกำลังไฟสำหรับเซิร์ฟเวอร์เน็ทเวอร์คกิ้งและดาต้าเซ็นเตอร์ (Server and Networking Power, Datacenter Power) ถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญที่เติบโตแข็งแกร่งต้้งแต่ต้นปีมาจนถึงไตรมาสปัจจุบัน สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการของตลาดมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือการเพิ่มกำลังไฟ และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อรองรับการประมวลผลของ AI บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากจากดีมานด์ที่เร่งตัวขึ้น
สำหรับแอปพลิเคชัน AI ส่งผลให้มีการพัฒนาโซลูชั่นพลังงานสมรรถนะสูงเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั้งในส่วนโครงงานดาต้าเซ็นเตอร์ โซลูชั่นพลังงานโทรคมนาคม โซลูชั่นเครือข่ายและโซลูชั่นระบบระบายความร้อนงานสารสนเทศ รวมถึงโซลูชั่น ระบบอัตโนมัติภาคอุตสาหกรรมและอาคารอัจฉริยะล้วนมีการเติบโตที่ดีในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบกำลังไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ายังเผชิญกับความท้าทายของสภาวะอุปสงค์อ่อนตัว ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวลดลง ท่ามกลางความผันผวนของอุตสาหกรรม EV ท้ังในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ท้้งนี้ ภาพรวมธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีปัจจัยเฝ้าระวังที่เกิดจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเงื่อนไขการค้าที่ไม่แน่นอน ทำให้บริษัทฯ มุ่งมั่นกลยุทธ์การขยายฐานการผลิตและบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานตามแนวทางความยั่งยืน เพื่อรักษาเสถียรภาพในการประกอบธุรกิจ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในสภาวการณ์ที่ท้าทายของอุตสาหกรรม
กำไรขั้นต้นมีจำนวน 15,085 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 26.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 35.8% จากไตรมาสที่แล้ว ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาสนี้อยู่ที่ 28.3% สูงขึ้นจากไตรมาสที่แล้วและช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว จากการเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรดี ควบคู่กับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ทำให้สามารถกลับรายการต้้งสำรองมูลค่าสินค้าคงคลังได้ปริมาณมากในไตรมาสนี้
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 7,580 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 27.7% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 26.1% จากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากค่าสิทธิจ่ายเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับการผลิตและแนวโน้มการขายสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีจากสิทธิบัตรของบริษัทแม่ในไต้หวัน
นอกจากนี้บริษัทฯ บันทึกค่าใช้จ่ายด้านการขายในส่วนภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น เพราะตลาดสหรัฐเริ่มประกาศใชน้ โยบายภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียมในไตรมาสนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ เกิดค่าใช้จ่ายอากร เพื่อส่งออกสินค้าภายใต้ข้อตกลงร่วมกันในการเรียกเก็บคืนจากลูกค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งจำนวนเงินส่วนนี้จะถูกบันทึกในรายได้ตามหลัก IFRS
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นได้ดีทั้งในด้านการบริหารและการลงทุนวิจัยพัฒนา ทำให้มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายดังกล่าวต่อฐานรายได้ปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้มีจำนวน 7,504 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไร 14.1% เพิ่มขึ้นจาก 13.9% ของงวดเดียวกันในปีก่อน และ 11.5% ในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากประสิทธิภาพการในบริหารค่าใช้จ่าย พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขาย
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มีการบันทึกรายรับอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ เงินชดเชยจากการผิดสัญญาทางการค้า และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ร่วมกับการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ และภาษีส่วนเพิ่มตามกฎ OECD ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3/68 นี้เท่ากับ 7,441 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์คร้ังใหม่ โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 60.8% และปรับตัวดีขึ้นจากปี ที่แล้ว 25.9% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 14.0% และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.60 บาท เทียบกับ 0.47 บาทต่อหุ้น ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

