HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่ ตั้งเป้าลดระยะเวลาคดีหุ้นเหลือไม่เกิน 12 เดือน เสริมอำนาจ ก.ล.ต. ปรับบทบาทผู้สอบบัญชี หวังสร้างระบบยุติธรรมที่รวดเร็ว โปร่งใส น่าเชื่อถือ ดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวใน โครงการอบรมความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนไทย ประจำปี 2568 ว่า ปัจจุบันความล่าช้าในการจัดการคดีความในตลาดทุนถือเป็นความเสียหายอย่างแรง และเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ที่ผ่านมา ตลท. ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อบังคับใช้กฎหมายในตลาดทุนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ปี 2564 ทำให้การจัดการเร็วขึ้นเป็นลำดับ จากเดิม ก.ล.ต.แจ้งผลการดำเนินคดีกลับมา ใช้เวลา 60-108 เดือน หรือ 5-9 ปี ล่าสุดปี 2567 เหลือ 12-36 เดือน หรือ 1-3 ปี ต่อกรณี โดยเป้าหมายต่อไป คือ ต้องจบภายใน 12 เดือน
ตลท. จึงเร่งปฏิรูปกฎหมายตลาดทุนครั้งใหญ่ หรือ กิโยตินกฎหมาย ภายใต้แนวคิด ความเร็วคือความยุติธรรม โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดระยะเวลาการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในตลาดทุน เพื่อสร้างความเกรงกลัวให้กับผู้ที่คิดจะกระทำผิด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศว่า ตลาดทุนไทยจะไม่เป็นพื้นที่ที่คนโกงสามารถใช้หากินได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป
ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีการขอแก้กฏกระทรวงเสริมอำนาจให้สามารถดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขข้อจำกัดด้านอำนาจการฟ้องร้องเอง โดยทำงานร่วมกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างใกล้ชิด
ทั้ง ก.ล.ต. และ ปปง. ต้องกล้าใช้กฎหมาย ต้องฟ้องให้เร็ว ปราบให้ไว และต้องเอาจริง ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าคนมีตังค์ ถ้าทำผิด ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดที่โกงสาธารณะไปสร้างความเสียหายต่อไป
“ในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี เขามีกฎหมายให้สิทธิ์ผู้เสียหาย ฟ้องร้องเองได้ ไม่ต้องรอตำรวจฟ้องอย่างเดียวเหมือนบ้านเรา”ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวว่า ตลท.ยังได้ร่วมอบรมเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานยุติธรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้ง ก.ล.ต., กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), ปปง. และศาลยุติธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันว่า การบังคับใช้กฎหมายตลาดทุนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนั้นมีความสำคัญต่อความเชื่อมั่นของประเทศ
“เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จะต้องเข้าใจเรื่องกฎหมายตลาดทุน เมื่อส่งฟ้องเข้าไปสามารถดำเนินการต่อไปได้เลย ไม่ใช่มานั่งทำความเข้าใจกันใหม่ว่าแต่ละเรื่องมีความหมายว่าอย่างไร เหมือนกับนับหนึ่งใหม่”ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวว่า การสร้างพันธมิตรและการตรวจสอบจากสาธารณะ อาทิ สื่อมวลชน ในการเผยแพร่ข่าวสาร ที่นักข่าวควรทำข่าวเจาะลึก เช่น ล่าสุดที่มีข่าวให้ประกันตัวจำเลย คดี MORE เพื่ออธิบายให้สังคมเข้าใจ การนำเสนอ บทเรียนจากคดีทุจริตสำคัญ เพราะสื่อมวลชนเปรียบเสมือน “Watchdog” หรือสุนัขเฝ้าตลาด ที่ต้องทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และเปิดเผยข้อมูลความล่าช้าหรือความไม่ชอบมาพากลในคดีต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย ในด้านการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ควรมีการให้ทุนสนับสนุนแก่กรรมการและผู้บริหารเพื่อถอดบทเรียนและฝึกอบรมเกี่ยวกับรูปแบบการโกงในตลาดทุนไทย รวมถึงการจัดหลักสูตรเฉพาะกิจสำหรับผู้บริหารระดับสูง เพื่อสร้างความเข้าใจถึงอันตรายของการปล่อยปละละเลยให้เกิดการทำผิดกม.ตลาดทุน
สำหรับ แผนปฏิรูปกฎหมาย ครั้งนี้ได้การตอบรับเชิงบวกจากรัฐบาลอย่างชัดเจน โดยรมว.กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังต่างพร้อมให้การสนับสนุนในการปลดล็อกกฎเกณฑ์ และที่สำคัญที่สุด นายกรัฐมนตรีได้รับปากว่าจะช่วยปลดล็อกข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุด
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวว่า ปี 2569 จะมีการแก้ไขเกณฑ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้สอบบัญชี โดยกำหนดให้ผู้สอบบัญชีภายนอก มีหน้าที่ต้องแจ้งความผิดปกติที่พบในงบการเงินต่อตลาดหลักทรัพย์ได้โดยตรง หากละเลยการแจ้งจะถือว่ามีความผิด ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ตลาดทุนสามารถรู้เท่าทันเหตุการณ์ผิดปกติได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิมที่ไม่ได้คุมตรงนี้
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพยฯ ยังได้เสนอเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างภาษีและมาตรการลดหย่อนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะโครงการออมหุ้นระยะยาว ที่คาดว่าจะมีการตั้งภายในไตรมาส 1 ปี 2569 ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการคลัง เห็นชอบในหลักการแล้ว โดยเชื่อว่าหากมาตรการเหล่านี้มีความคืบหน้า จะสามารถดึงดูดนักลงทุนรายใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดได้มากขึ้น และสิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ตลาดทุนโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจน
