คำต่อคำ”ออมสิน ศิริ”BYD”ยืนหยัดหนุน”TSB”สร้างเศรษฐกิจใหม่

HoonSmart.com>>คำต่อคำ”ออมสิน ศิริ”ประธานกรรมการบริหาร บล. บียอนด์ แจงข้อสงสัยพร้อมตอบคำถามข้องใจจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “คนดังนั่งเคลียร์ เพลียข่าวหนี้สูญ” ว่าตั้งสำรองเพียงพอ เงินกองทุนแกร่ง NCR เกินเกณฑ์ ยืนหยัดหนุน TSB เดินหน้าสร้างระบบขนส่งสาธารณะอัจฉริยะในกรุงเทพฯ และ 7 จังหวัดต่อเนื่อง สู่ยุครถ-เรือไฟฟ้าเต็มรูปแบบ สร้างเศรษฐกิจใหม่

น.ส.ออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บล. บียอนด์ (BYD) และบริษัท ไทย สมายล์ บัส (TSB) กล่าวว่า TSB กำลังมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในธุรกิจการขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ และ 7 จังหวัด โดยเฉพาะการให้บริการ รถโดยสารไฟฟ้าและเรือไฟฟ้า ที่มีจำนวนผู้ใช้บริการและยานพาหนะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การลงทุนครั้งใหญ่นี้แม้จะต้องใช้ เงินทุนมหาศาลในช่วงแรก แต่ก็เริ่มเห็นผลตอบแทนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ สถานะทางการเงินและสภาพคล่อง ของ BYD ยังคงแข็งแกร่ง สูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนดอย่างมาก

ขณะที่ TSB ยังเป็นผู้ประกอบการเอกชนอันดับหนึ่งด้านการขนส่งสาธารณะ และ บียอนด์ ยังให้บริการในฐานะ บริษัทหลักทรัพย์น้องใหม่ที่ให้บริการครบวงจร อีกด้วย

ความท้าทายและการลงทุนระยะเริ่มต้น

จากการที่ บล.บียอนด์  และ TSB  ได้ทุ่มเทการลงทุนเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ

1.การลงทุนมหาศาลในระยะแรก การลงทุนในธุรกิจใดก็ตามในช่วงแรกนั้น จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล เนื่องจากต้องมีการลงทุนในหลายด้านเพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการ

ทั้งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ในเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์, ตัวรถโดยสาร/เรือ, ระบบอู่, เทคโนโลยี,บุคลากร,การตลาด

“ทั้งบียอนด์ และ ไทย สมายล์ บัส ได้มีการทุ่มเททรัพยากรลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญมาก เพื่อที่จะให้สามารถบริการและฟื้นฟูธุรกิจนี้ขึ้นมาให้เป็นธุรกิจที่เติบโตได้ในระยะยาว”น.ส.ออมสิน กล่าว

น.ส.ออมสิน กล่าวว่า ความท้าทายที่ต้องเผชิญในช่วงแรกของการลงทุน ธุรกิจจำเป็นต้องทำงานและใช้ความพยายาม เหนื่อยกว่าปกติเป็นธรรมดา เนื่องจากเป็นช่วงของการสร้างระบบและการปรับตัว ที่ปัจจุบันได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของ  บล.บียอนด์ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลายเท่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่น แต่ปีนี้บริษัทฯ เจอกับเรื่องที่บั่นทอนความเชื่อมั่นบ่อยครั้ง

ขณะที่ บริษัท ไทย สมายล์ บัส มีการพัฒนามาโดยตลอด สะท้อนออกมาในรูปของจำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการมากขึ้น, จำนวนรถโดยสารที่วิ่งให้บริการ, และการได้รับเสียงชื่นชมในเรื่องของคุณภาพของการให้บริการ (รวมถึงทั้งรถไฟฟ้าและเรือไฟฟ้า)

ปัจจุบัน ก้าวเป็นผู้ประกอบการเอกชนอันดับ 1 ในการบริการขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพฯ และ 7 จังหวัดให้บริการที่ครอบคลุม รถเมล์ 124 เส้นทาง,เรือ 3 เส้นทาง รวมถึงรถเมล์และเรือสามารถวิ่งแบบไม่ประจำทางได้ หากมีคนรอใช้บริการ รวมแล้ว สามารถให้บริการประชาชนได้ถึงหลัก กว่า 10 ล้านเที่ยวต่อเดือน

ความมั่นคงทางการเงิน

บล.บียอนด์ มีการลงทุนและการบริหารจัดการโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแรง ทำให้สถานะทางการเงินและสภาพคล่องของหลักทรัพย์บียอนสูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนดอย่างมาก โดยส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 4,922 ล้านบาท,สินทรัพย์สภาพคล่องสุทธิ (NC) อยู่ในหลัก 900 กว่าล้านบาท,อัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องคล่องสุทธิ (NCR) อยู่ที่ 230% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 7% อย่างมาก ส่งผลให้สามารถประกอบธุรกิจและให้บริการได้อย่างครบถ้วนในทุก ๆ ด้านมาโดยตลอด

ด้าน ธุรกิจของ บริษัท ไทย สมายล์ บัส ยังมีศักยภาพและโอกาสสูง แต่ด้วยมีหลายปัจจัยที่เปลี่ยนไปเกินอำนาจของบริษัทฯ ทำให้ประสบปัญหาด้านรายได้ไม่เป็นไปตามแผน ที่ผ่านมาพยายามเน้นการบริหารจัดการความเสี่ยง การใช้รายได้ที่มีอยู่ และการปรับโครงสร้างหนี้

แม้ธุรกิจพยายามหาวิธีระดมทุนใหม่เพื่อนำมาคืน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและภาวะเงินตึง

จึงได้สนับสนุนเงินกู้ 10,759 ล้านบาท และได้ทำการตั้งสำรองฯ 7,561 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับ

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจดังกล่าวมีรายได้สม่ำเสมอทุกเดือนจากการเป็นค่าเช่าซื้อรถ ประมาณเดือนละเกือบ 12 ล้านบาท และไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นใด

ส่วนแบ่งรายได้ (Cash Share) ของธุรกิจถูกนำมาจ่ายชำระดอกเบี้ยครบทุกบาททุกสตางค์ ตั้งแต่วันแรกที่กู้ไป

ในส่วนของการผ่อนชำระคืนเงินต้นนั้น ได้ทำการจัดตารางการชำระใหม่ ตามศักยภาพของธุรกิจ ซึ่งอาจทำให้การชำระคืนเงินกู้ใช้เวลานานขึ้น แต่ทางผู้กู้มีวินัยในการชำระดีเยี่ยม

ด้านการปล่อยกู้ บริษัท เอซ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ACE)  มีหลักประกันเงินกู้จำนวน 1,050 ล้านบาท เป็นรถโดยสารทั้ง 112 คัน ซึ่งยังคงให้บริการอยู่มูลค่าหลักประกันสูงกว่าเงินกู้  โดยมีบุคคลที่สามประเมินมูลค่า (Third Party) และพบว่า มูลค่าของรถอยู่ที่เกือบ 600 ล้านบาท ขณะที่เงินให้กู้ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันมีมูลค่าไม่ถึง 580 ล้านบาท เนื่องจากมูลค่าหลักประกันสูงกว่ามูลค่าเงินกู้ที่เหลืออยู่ ความเสี่ยงในเรื่องนี้จึงแทบจะหมดไปสำหรับบล.บียอนด์