RATCH หุ้นยั่งยืน EBITDA พุ่งแตะ 2.5 หมื่นลบ.ปิดจุดเสี่ยง บุกออสเตรเลีย ชูนวัตกรรมเด่น

HoonSmart.com>>”ราช กรุ๊ป” (RATCH) ชู “หุ้นยั่งยืน” ปรับกลยุทธ์หนุนอีบิทดาโตทุกปี 5% กระโดดจาก 15,000 ล้านบาทแตะ 2.5 หมื่นล้านบาทปี 2572 ทุ่มงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท/ปี เพิ่มกำลังผลิต เน้นไฟฟ้าพลังงานทดแทน เล็ง M&A คุยอยู่ 5 ราย บุก”ออสเตรเลีย”ฐานสำคัญ โชว์นวัตกรรมที่แรกและที่เดียว อัพมูลค่าโรงไฟฟ้าที่ใกล้ปลดระวาง คุ้มทุนเร็ว 4 ปีครึ่ง เล็งขยายยุโรปตะวันตก-ญี่ปุ่น ต้นทุนการเงินต่ำ รอจังหวะบริษัทลูกแกร่ง ขาย IPO ผู้ถือหุ้นกอดลงทุนยาว จ่ายเงินปันผลสูง

‘ออสเตรเลีย’ยังมีโอกาสโตมากอีกไกล

นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป (RATCH) นำคณะผู้บริหาร และสื่อมวลชนไปเยี่ยมชมกิจการที่ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-4 ต.ค. 2568 ที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมคอลเล็กเตอร์ ขนาด 226.8 เมกะวัตต์ (MW) รัฐนิวเซาท์เวลส์ และโครงการ Synchronous Condenser โรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ รัฐควีนแลนด์ ทำให้เห็นความยิ่งใหญ่ของบริษัทย่อย คือ บริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น (RAC) หนึ่งในบริษัทพลังงานชั้นนำของออสเตรเลีย และยังเห็นโอกาสทางธุรกิจที่สูงมากในระยะยาว รัฐบาลประกาศนโยบายด้านพลังงานชัดเจน ตั้งเป้าปี 2050 จะมีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนสัดส่วน 85% ของทั้งหมด เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

การเติบโตของบริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น (RAC) ส่งผลบวกต่อ RATCH ชัดเจน ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 100% ยกเว้นโรงไฟฟ้าพลังงานลม Yandin ถือ 70% ซึ่งใช้เป็นแกนหลักในการขยายธุรกิจ สร้างกำไรเติบโตอย่างมั่นคง โดยครึ่งแรกของปี 2568 สร้างรายได้ 2,948 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 19% ของรายได้รวม หรือประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี สร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (อีบิทดา) ให้ประมาณ 3,000 ล้านบาท/ปี   จึงมีกระแสเงินสดเพียงพอในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ลดการพึ่งพาเงินทุนจากบริษัทแม่ รวมถึงพันธมิตรจำนวนมากแสดงความสนใจจะเข้ามาร่วมลงทุน และในอนาคตเมื่อมีความพร้อมก็จะสามารถเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) เพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นออสเตรเลีย

ปัจจุบัน RAC มีกำลังการผลิตที่ลงทุนแล้วรวม 2,094.89 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 9 แห่ง ซึ่งรวมถึงโครงการระบบกักเก็บพลังงาน(BESS) ด้วย

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพัฒนาและก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บไฟฟ้า รวม 9 โครงการ ในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์มารูลัน กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน ขนาด 81 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง กำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570 โครงการระบบกักเก็บพลังงานเบรีล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และโครงการระบบกักเก็บพลังงานอีแอล เอริช ขนาด 250 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งแผนงานทั้งสองโครงการได้รับความเห็นชอบแล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572 และโครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ซึ่งการประเมินเบื้องต้นความเร็วลมเหมาะสมเป็นแหล่งพลังงานได้ และมีระบบสายส่งในพื้นที่รองรับได้ สำหรับกำลังการผลิตของโครงการประมาณการ 500-800 เมกะวัตต์ คาดว่าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2573

” RAC ได้วาง 3 กลยุทธ์ในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ได้แก่ 1.บริหารประสิทธิภาพสินทรัพย์ ด้วย AI และดิจิทัล 2.ขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและเกี่ยวเนื่อง เน้นพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายรัฐบาลออสเตรเลีย ผลักดันการพัฒนางานในมือ จำนวน 1,400 MW ให้สำเร็จและแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจปลายน้ำ แม้ว่าจะต้องรอเวลาก็ตาม และ 3. สร้างมูลค่าเพิ่มโรงไฟฟ้าที่กำลังปลดระวาง เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เช่น พัฒนาโครงการพลังงานสงอาทิตย์ในโรงไฟฟ้าคอลลินส์วิลล์ ซึ่งเดิมและเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่สำคัญมีการลงทุนปรับปรุงระบบ synchronous Condenser นำเสนอนวัตกรรมแห่งแรกและแห่งเดียวในออสเตรเลีย ในการซื้อโรงไฟฟ้าที่หมดสัญญาแล้ว มูลค่า 32 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียมาให้บริการ  คาดลงทุนเพียง 4 ปีครึ่ง ก็มีรายได้ถึงจุดคุ้มทุน และสามารถนำเทคโนโลยีไปต่อยอดโครงการต่างๆ  เนื่องจากระบบนี้จะเก็บไฟฟ้าไว้ขายในช่วงการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอ หรือในช่วงที่ราคาสูง  ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่กำลังจะปลดระวางตามแผนงาน ” นายนิทัศน์ กล่าว

RATCH เติบโตมั่นคง

บริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น (RAC) จะสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานทดแทนของบริษัทฯ ที่กำหนดเป้าหมายไว้ 30% ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และ 40% ในปี 2578 ปัจจุบันอยู่ที่ 2,972 เมกะวัตต์ หรือ 27.5%ของกำลังการผลิตรวม 10,815 เมกะวัตต์

“ออสเตรเลียเป็นตลาดไฟฟ้าพลังงานสะอาดและเกี่ยวเนื่องเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ ซึ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนพัฒนาโครงการพลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน และการให้บริการเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ” นายนิทัศน์ กล่าว

นอกจากนี้ RATCH ยังจัดงบลงทุนประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,000 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) เพื่อลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านพลังงานรูปแบบใหม่และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีการเตรียมเงินทุนเบื้องต้นไว้ประมาณ 500 ล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2569  เลือกลงทุนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงไม่มาก class B

บริษัทยังมีการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น  เช่น ที่ดินที่ราชบุรี ประมาณ 2,000 ไร่ กำลังศึกษาในการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นมากกว่านิคมฯ มีการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ และอุตสาหกรรมชั้นสูง

จุดเด่น’บริหารความเสี่ยง’

RATCH ยังมีจุดเด่นเรื่องการบริหารความเสี่ยง กำลังปรับโครงสร้างรายได้สกุลเงินบาทจากประเทศไทยและสปป.ลาวสัดส่วน 60% ในอนาคตจะเหลือ 50% ส่วนที่เหลือสกุลต่างประเทศ  ได้แก่ ออสเตรเลีย,อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์  ญี่ปุ่น อีกทั้งยังตั้งเป้าจะแสวงหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานนอกเหนือจากออสเตรเลีย อาทิ ประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่นด้วย

นอกจากนี้ RATCH มีการกำหนดเพดานในการพิจารณาอนุมัติการลงทุนในโครงการที่มีอัตราผลตอบแทน (IRR)ที่ดี เช่น  11% หากเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการการลงทุน และบริษัทลูกในต่างประเทศมีกระแสเงินสดส่วนหนึ่งในการลงทุนโครงการใหม่ จึงมีการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามธรรมชาติ

ขณะเดียวกัน RATCH ได้ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การออกแบบโครงการโดยคำนึงถึงการรีไซเคิล และใช้ทรัพยากรซ้ำอย่างคุ้มค่า และมุ่งมั่นลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมดูแลชุมชนรอบข้างและสังคม มีการแบ่งปันผลประโยชน์จากการดำเนินงาน โดยการจัดตั้งกองทุนคืนสู่ชุมชนรอบข้าง สนับสุนโครงการที่สร้างสรร สร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน เช่น สนับสนุน 250,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อปี ให้กับชุมชนรอบโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mount Emerald

อีบิทดาเป้า 5 ปีแตะ 25,000 ล้านบาท 

นางวดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน บริษัท ราช กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าอีบิทดาเติบโตปีละ 5%  เดิมคาดว่าจะทำได้ระดับ 15,000 ล้านบาทในปี 2570  ปีนี้ทำได่เร็วกว่าแผน และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าหรือปี 2572 จะทำได้ 25,000 ล้านบาท ส่วน RAC  ก็จะมีการเติบโตปีละ 5% เช่นเดียวกัน

ต้นทุน”การเงิน”ต่ำ ปันผลสูง

RATCH ยังเป็นผู้นำในการเสนอขายหุ้นกู้ตรงให้กับสำนักงานประกันสังคม ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพราะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลก ผ่านบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อโครงการ รวมถึงการออกหุ้นกู้สีเขียว (Green bond ) ทำให้ได้ต้นทุนต่ำ  โดยรวมดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 2% เศษต่อปี

นอกจากนี้ RATCH เป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทของอุตสาหกรรมไฟฟ้า ที่มีอันดับความน่าเชื่อสากล ระดับที่ลงทุนได้ (Investment grade) จากสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก S&P มูดี้ส์

ความสำเร็จในการเติบโตของกำไร และ EBITDA ส่งผลให้ RATCH มีความสามารถในการให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นสูง บริษัทหนึ่ง ทั้งนี้บริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของปี 2568 อัตราหุ้นละ  0.80 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 3% เทียบกับราคาปัจจุบันที่ประมาณ 26 บาท

นอกจากนี้การเติบโตของกำไรยังมาจากการแสวงหาโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพ ทั้งแบบควบรวมและการเข้าซื้อกิจการ (M&A) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ ปัจจุบันบริษัทกำลังพิจารณาโรงไฟฟ้าอยู่ประมาณ 5 โครงการ  แบ่งเป็นในประเทศไทย   2 โครงการ และในต่างประเทศจำนวน 3 โครงการ  โดยมีเงินลงทุนเตรียมไว้แล้ว ซึ่งปีนี้ตั้งบลงทุนทั้งหมด 15,000 ล้านบาท ใช้ไปเพียง 4,000 ล้านบาท

” เราอยากเป็นหุ้นยั่งยืน นอกจากอีบิทดามีการเติบโตทุกปีปีละ 5% จากการลงทุนในโครงการที่มีความเสี่ยงน้อยแล้ว โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนยังให้มาร์จิ้นที่ดีด้วย ทำให้ RATCH ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงติดอันดับธุรกิจไฟฟ้า และผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ถือลงทุนระยะยาว นอกจากไม่มีการนำหุ้นไปจำนำ ทำให้ปริมาณหุ้นหมุนเวียนน้อย สร้างเสถียรภาพราคาหุ้น”นายนิทัศน์กล่าวทิ้งท้าย