HoonSmart.com>>บล.ทรีนีตี้มองบวก”เอแอลที เทเลคอม” (ALT) ธุรกิจเทิร์นอะราวด์เกาะเมกะเทรนด์ เป็นผู้เล่นสำคัญดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่พิเศษ หลังลุยโครงข่ายใยแก้วนำแสง ก้าวสำคัญโกยรายได้ประจำระยะยาว คาดกำไร 40-90 ล้านบาท/ปี ผงาดขึ้นศูนย์กลางเชื่อมต่อดิจิทัลของภูมิภาค คาดปีนี้กำไรปกติ 34 ล้านบาท ไม่รวมพิเศษ ปีหน้ากำไรสุทธิ 40 ล้านบาท บล. หยวนต้ามองดีขึ้น แต่ยังต้องพิสูจน์ฝีมือ จับโอกาสสำคัญได้ไหม ยักษ์ใหญ่แห่ย้ายฐานดาต้าเซ็นเตอร์เข้าไทย ยันราคาหุ้นยังถูก
บล.ทรีนีตี้ เริ่มต้นคำแนะนำ”ซื้อ”หุ้นบริษัท เอแอลที เทเลคอม (ALT) ให้ราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 1.75 บาท แบ่งเป็น 1.มูลค่าธุรกิจปัจจุบันที่ 1.40 บาทต่อหุ้น อิง P/BV ที่ 0.9 เท่า ซึ่ง ALT ยังมีสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการที่จะช่วยสร้างผลกำไรในอนาคต และ 2. โครงการใหม่ โครงข่ายสื่อสารใยแก้วนำแสง หรือ Fiber Optic และเคเบิลภาคพื้นน้ำเชื่อมชายฝั่ง ด้วยวิธี Discounted Cash Flow ได้มูลค่า 0.35 บาทต่อหุ้น
ปัจจุบันธุรกิจกลับมามีกำไรเทิร์นอะราวด์ และบริษัทเข้าไปลงทุนในโครงการโครงข่ายสื่อสารใยแก้วนำแสง มูลค่า 1,594 ล้านบาท ถือเป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำการปรับตัวสู่โครงสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว โครงการแรกคือโครงข่ายเส้นทางความปลอดภัยสูง กรุงเทพฯ–EEC ระยะทางกว่า 270 กิโลเมตร และโครงการที่สองคือเคเบิลภาคพื้นน้ำเชื่อมชายฝั่งจังหวัดสตูล ทั้งสองโครงการมีสัญญา 15–20 ปี คาดว่าจะสร้างรายได้ประจำปีละ 150–190 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุนฐานรายได้ให้เติบโตต่อเนื่อง พร้อมกระแสเงินสดที่มั่นคงจากการเก็บเงินล่วงหน้าจากลูกค้า
ขณะเดียวกัน การลงทุนครั้งนี้ยังตอบโจทย์เมกะเทรนด์การขยายตัวของ Data Center และ Hyper Scaler ที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานสื่อสารที่มีความเสถียรและปลอดภัยสูง นอกจากนี้การที่บริษัทมีการใช้เงินทุนจากกระแสเงินสดลูกค้าและวงเงินกู้ระยะสั้นที่มีเงื่อนไขเข้มงวด ทำให้ความเสี่ยงด้านการเงินอยู่ในระดับจำกัด ซึ่งประเมินว่าจะช่วยสร้างผลกำไรได้ราวปีละ 40-90 ล้านบาท
ตลาด คือศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่พิเศษหรือ Hyperscale Data Center ของประเทศไทยกำลังกลายเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจดิจิทัลในทศวรรษนี้ โดยมีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นทั้งด้านมูลค่าและความต้องการใช้งาน ข้อมูลล่าสุดคาดว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มจาก 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 ไปแตะระดับกว่า 14.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2574 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงถึง 22.39% ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนมหาศาลและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มองเห็นศักยภาพของไทยในการเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาค
ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากการเข้ามาลงทุนโดยกลุ่ม Hyper-scaler ชั้นนำระดับโลก เช่น Amazon Web Services (AWS), Google, Microsoft และ Alibaba Cloud ที่เร่งขยายศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของ Cloud Service, AI และ Big Data ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้บริการดิจิทัล ความบันเทิงออนไลน์ และเกมบนมือถือมากขึ้น ล้วนผลักดันให้ความต้องการด้านการประมวลผลและเก็บข้อมูลเติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและ BOI โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและการพัฒนาพื้นที่ EEC (Eastern Economic Corridor) ยังเป็นแรงดึงดูดสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนการลงทุนของผู้ประกอบการต่างชาติลงถึง 15–20% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
อีกหนึ่งปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สนับสนุนการเติบโตคือ การเชื่อมต่อโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำ และการขยายโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ทำให้ไทยสามารถลดต้นทุน Bandwidth ได้ถึง 30–40% และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้าน Latency กลายเป็น ศูนย์กลางการถ่ายโอนข้อมูลของอินโดจีน ขณะเดียวกัน ความต้องการด้านพลังงานของ Data Center ที่สูงขึ้นก็เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค โดยเฉพาะในด้านพลังงานหมุนเวียนที่กำลังเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติที่มีเป้าหมาย Net Zero
“ตลาด Hyperscale Data Center ของไทยที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่ง ALT ถือเป็นผู้เล่นสำคัญที่ได้ประโยชน์อย่างเด่นชัดจากปรากฏการณ์นี้ การลงทุนของ ALT ในโครงข่ายใยแก้วนำแสง ไม่เพียงสร้างรายได้ประจำระยะยาว แต่ยังช่วยวางฐานให้บริษัทกลายเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อดิจิทัลของภูมิภาค”บล.ทรีนีตี้ระบุ
ส่วนผลประกอบการในปี 2568 คาดกำไรปกติ 34 ล้านบาท แต่ถ้ารวมกำไรจากการขายสินทรัพย์ประมาณ 69 ล้านบาท และการกลับรายการค่าเผื่อหนี้สูญอีก 13 ล้านบาท คาดว่าจะมีกำไรสุทธิรวม 116 ล้านบาท ส่วนในปี 2569 คาดกำไรสุทธิ 40 ล้านบาท จากรายได้ที่เติบโตราว 23% บริษัทมีการเข้าไปประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพิ่มมากขึ้น และในปี 2570 จะเริ่มให้บริการ EEC fiber คาดว่าจะมีกำไรส่วนเพิ่มอีกราว 9 ล้านบาท และทยอยเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านบาทในปี 2572 ซึ่งเป็นปีที่ EEC fiber และ subsea cable จะให้บริการเต็มปี
แนวโน้มกำไรปกติของ ALT ค่อยฟื้นตัว จากในปี 2565 ที่บริษัทมีขาดทุนสูงถึง 94 ล้านบาท จากกการตั้งสำรองด้อยค่าของสินทรัพย์โครงการ Wifi Network กว่า 97 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจัดการโครงสร้างบริษัทใหม่ ตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ออกไป คงเหลือแต่สินทรัพย์หลัก ที่จะช่วยสร้างผลกำไรในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีการล้างขาดทุนสะสมจากโอนทุนสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินมูลค่าหุ้นรวม 287.5 ล้านบาท เพื่อรองรับการจ่ายปันผลในอนาคต
ทางด้านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มอง ALT ดีขึ้น แต่ยังต้องพิสูจน์ตัวอีกระยะ หลังจากผลประกอบการปกติครึ่งปี 2568 กลับมาทำกำไรบางๆ ได้อย่างต่อเนื่อง มีรายได้ 714 ล้านบาท (+15% YoY) หลักๆ มาจากรายได้เชื่อมโครงข่ายและบริการที่เพิ่มขึ้น เพราะบริษัทฯ ได้ลูกค้าต่างประเทศมาใช้งานเชื่อมต่อระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น และคิดเป็นสัดส่วน 81% ส่วนงานขายอยู่ในลักษณะประคองตัว ณ สิ้นครึ่งปีแรกขณะที่ทำกำไรได้ 94 ล้านบาท (+895% YoY) แต่มีรายการพิเศษ รายได้อื่นๆผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน หากตัดออกเหลือกำไรปกติ 24 ล้านบาท (+109% YoY) ดีขึ้นมาจากรายได้ที่เติบโต ภายใต้การควบคุมค่าใช้จ่ายที่ทำอย่างต่อเนื่อง
ALT รายงาน Backlogs ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2568 ที่ระดับ 4,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเทียบกับจำนวน 4,100 ล้านบาทในไตรมาสแรก หรือ +6% QoQ สะท้อนภาพรวมธุรกิจที่ยังดีขึ้นต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดว่าแนวโน้มการเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลจาก Hyperscaler ย้ายฐาน Data Center เข้าสู่ตลาดไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสสำคัญของ ALT อยู่ที่บริษัทฯ จะจับโอกาสดังกล่าวได้มากน้อยแค่ไหน
ใน Opportunity Day ล่าสุด ผู้บริหาร ALT ประกาศการลงทุน 2 โครงการใหม่ ดังนี้ 1) ลงทุนโครงข่ายสื่อสารใยแก้วนำแสง (FOC) เส้นทางกรุงเทพฯ – EEC ระยะทาง 270 กม. โดยอยู่ระหว่างการขออนุญาต คาดว่าจะก่อสร้าง 15 เดือนและตั้งเป้าเปิดให้บริการในครึ่งหลังปี 2570 และ 2) โครงการเคเบิลภาคพื้นน้ำ(Submarine Cable) เชื่อมสถานีชายฝั่งจ. สตูล ระยะทาง 12 ไมล์ทะเล พร้อมระบบรองรับโครงข่ายนำแสงภาคพื้นดิน ก่อสร้าง 21 เดือน คาดเปิดดำเนินการครึ่งแรกปี 2571 ทั้งสองโครงการ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 1,600 ล้านบาท บริษัทฯ Guidance จะได้รับเงินล่วงหน้าจากลูกค้าสำหรับการให้บริการ 15-20 ปี เพื่อสนับสนุน CAPEX ดังกล่าวอย่างน้อย 70% คาดว่าจะไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนสำหรับการลงทุน
ปัจจุบันราคาหุ้น ALT ต่ำ BVPS ลุ้นฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังไม่มีประมาณการและราคาเหมาะสมอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ ALT ไม่อยู่ใน Coverage บทวิเคราะห์จัดทำขึ้น เพื่อนำเสนอมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจ ภายใต้สมมติฐานและมุมมองของฝ่ายวิจัยบล.หยวนต้าฯเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน มิได้มีการศึกษาข้อมูลเชิงลึกแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมมากกว่าปกติ
ในมุมมองด้าน P/BV หุ้นไม่แพง แม้ราคาหุ้นปรับขึ้นมา 25-30% จากระดับ +/- 1 บาท ตอนที่เราเคยออกออกบทวิเคราะห์ไปก่อนหน้านี้ ตามผลประกอบการครึ่งแรกปี 2568 ที่ค่อยๆ ดีขึ้น อย่างไรก็ดีหุ้นยังไม่แพง อิงงบการเงิน มีมูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ 1.51 บาทต่อหุ้น เทียบกับปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ +/-1.31 บาท คิดเป็น P/BV ที่ 0.87 เท่า ขณะที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ในงบการเงินเป็นสินทรัพย์ระยะยาวโดยเฉพาะโครงข่าย Fiber Optic ทั้ง Dark Fiber บนทางรถไฟ บนทางด่วน เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้
ด้าน PER หุ้นที่กำไรปกติระดับ 100 ล้านบาท อิง PER 15-19 เท่า จะมีราคาเหมาะสมอยู่ในกรอบ 1.32-1.68 บาทหรืออาจไปได้ +/-2 บาท หากกำไรปกติทำได้ 150 ล้านบาท/ปีอิงกำไรปกติครึ่งปีนี้ที่ 24 ล้านบาท ยังไม่มากเพียงพอที่จะทำให้หุ้นกลับขึ้นไปได้ที่ระดับ 1.50-2.00 บาท
อย่างไรก็ดีหากบริษัทฯเติบโตรายได้ประจำและกำไรปกติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างน้อยไปถึงระดับใกล้เคียง 100 ล้านบาทต่อปี มีโอกาสกลับขึ้นไประดับมากกว่า 1.50 บาทในระยะถัดไป บนความเสี่ยงสำคัญคือการปิดลูกค้ารายใหม่ล่าช้าและการตั้งสำรองสินทรัพย์เพิ่มเติม
ด้านราคาหุ้น ALT ปิดที่ 1.31 บาท บวก 0.01 บาทหรือ 0.77% เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา
