TURBO เคาะราคา IPO หุ้นละ 1.50 บาท ไม่หวั่นธนาคารไร้สาขา–หนี้ครัวเรือนสูง

HoonSmart.com>>เงินเทอร์โบ เคาะราคา IPO หุ้นละ 1.50 บาท จอง 19 – 23 ก.ย.นี้ ผู้ถือหุ้นเดิมล็อคหุ้น 1 ปี มั่นใจธนาคารไร้สาขา-หนี้ครัวเรือนสูง ไม่กระทบธุรกิจ เหตุตลาดแตกต่าง เน้นปล่อยสินเชื่อทำการค้า เดินหน้าขยายสาขาเฉลี่ยปีละ 100 แห่ง เผยแนวโน้มดอกเบี้ยลด คาดหนุน NIM เพิ่มจากระดับ 19.8% 

นายคมกฤต รักษากุลเกียรติ หัวหน้าวาณิชธนกิจ ธนาคารทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้น บริษัท เงินเทอร์โบ (TURBO) กล่าวว่า TURBO เสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ในราคาหุ้นละ 1.50 บาทต่อหุ้นจำนวนไม่เกิน 537 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เปิดจองซื้อวันที่ 19 – 23 ก.ย.2568 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนกันยายนนี้

ทั้งนี้ แบ่งเป็น

1.หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ไม่เกิน 447.78 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 16.8% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO

2.หุ้นสามัญเดิมโดยบริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด ไม่เกิน 89.22 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 3.3% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO

รวมสัดส่วนการเสนอขาย ไม่เกิน 20.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ หลัง IPO

TURBO มีความสามารถในการสร้างรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการในกลุ่มเดียวกัน โดยทีโอกาสเติบโตจากตลาดสินเชื่อทะเบียนรถที่ไม่ใช่ธนาคาร ซึ่งอุตสาหกรรมนี้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีถึง 22.4% นับจาก ปี 2565 – ไตรมาส 1 ปี 2568

ด้านธุรกิจนายหน้าประกันภัยและประกันชีวิตของ TURBO เติบโตเฉลี่ย 54.3% ต่อปี นับจากปี 2563 – 2567

รวมถึง สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายเพื่อขยายประเภทผลิตภัณฑ์และตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลาย

มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปล่อยสินเชื่อ การติดตามและทวงถามหนี้ การบริหารความเสี่ยงด้วยข้อมูลเรียลไทม์

ขณะที่ ทีมงานเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านการเงินและเทคโนโลยี เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้ทันสมัยและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว

“บริษัทฯอยู่ในช่วงการเติบโต ทั้งจากสาขาเดิมที่ยังมีอายุไม่มาก และโตจากสาขาใหม่ เมื่อเข้า SET แล้วจะทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้หลากหลาย และด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าอุตสาหกรรม เมื่อรายได้ใหม่เข้ามาจะไหลลงที่กำไร”นายคมกฤต กล่าว

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า วัตถุประสงค์การเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และคาดว่าจะสามารถนำหุ้น TURBO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนกันยายนนี้ ทั้งนี้ มองว่าราคาเสนอขาย IPO ดังกล่าวมีความเหมาะสม สะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโตและพร้อมจะก้าวสู่ผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยชั้นนำของประเทศ

ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมจะทำการล็อคหุ้น หรือไม่ขายหุ้นออกมาเป็นเวลา 1 ปีนับจากวัน IPO ส่วนบริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด จะล็อคหุ้นที่มีอยู่ 6 เดือน

สำหรับที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปขยายธุรกิจให้บริการทางการเงิน,ชำระคืนเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์

และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

นายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เงินเทอร์โบ (TURBO) กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นเดิมจะทำการล็อคหุ้น หรือไม่ขายหุ้นออกมาเป็นเวลา 1 ปีนับจากวัน IPO ส่วนบริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด จะล็อคหุ้นที่มีอยู่ 6 เดือน

บริษัท เงินเทอร์โบ เป็นผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคารพาณิชย์ โดยดำเนินธุรกิจหลัก 2 กลุ่ม ได้แก่

1. ธุรกิจสินเชื่อ เช่น สินเชื่อทะเบียนรถ สินเชื่อโฉนดที่ดิน และนาโนไฟแนนซ์

2. ธุรกิจนายหน้าประกันภัย ทั้งประกันชีวิตและวินาศภัย

บริษัทมีจุดแข็งด้านการใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเอง สามารถปรับเปลี่ยนได้เองตลอดเวลา และทีมงานคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนองค์กรประมาณ 300 คนซึ่งยังไม่มีแผนเพิ่มคน ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อสาขาอยู่ที่ 1.4 ล้านบาทต่อปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 2.3 ล้านบาทต่อปี โดยมีสาขา 996 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุม 54 จังหวัด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 และตั้งเป้าขยายเป็นไม่น้อยกว่า 1,475 แห่งภายในปี 2572 เฉลี่ยขยายสาขาปีละ 100 แห่ง

การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อแบบก้าวกระโดด จาก 3,282 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 เพิ่มเป็น 11,262.9 ล้านบาท ณ กลางปี 2568 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 31.5% แยกเป็น สินเชื่อจำนำรถ 70% สินเชื่อนาโน 20% สินเชื่อที่ดิน 10% โดยจะรักษาระดับสัดส่วนดังกล่าวต่อไป และปีนี้ทั้งปีคาดว่าสินเชื่อรวมจะมีประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ ประสิทธิภาพจากการเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ อายุเฉลี่ยของสาขาเพียง 4.1 ปี โดยมีสาขาที่อายุน้อยกว่า 5 ปีถึง 65.6% ของทั้งหมด สามารถที่จะขยายตัวได้อีก และจะทำให้ต้นทุนลดลง

สำหรับ กลยุทธ์หลักของบริษัทในการสร้างการเติบโต ได้แก่ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า,พัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กร โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้ ,เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการผ่านการขยายสาขาและช่องทางดิจิทัล ,พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้หลากหลายและตอบโจทย์ลูกค้า

“เรามีบัญชีลูกค้าทั้งหมด 4 แสนบัญชี จากลูกค้าทั้งหมด 2 แสนราย โดยเป็นลูกค้าที่ซื้อประกัน 60% โดยจะขยายฐานลูกค้าประกันเพิ่มขึ้น เพราะคนไทยที่มีประกันยังมีน้อย สามารถเติบโตได้อีกมาก”นายสุธัช กล่าว

นายสุธัช กล่าวถึงกรณี ธนาคารไร้สาขาที่กำลังจะเริ่มทำธุรกิจในปี 2569 ว่า ไม่กังวล เพราะฐานลูกค้าคนละกลุ่ม โดยฐานลูกค้าเทอร์โบ เป็นฐานรากจริงๆ ที่เข้าไม่ถึงสถาบันการเงิน และด้วยภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงระดับ 80% ไม่กระทบต่อการทำธุรกิจของบริษัท เพราะบริษัทเลือกลูกค้าที่ขอสินเชื่อเพื่อไปทำธุรกิจ ที่สามารถชำระหนี้ตลอดสัญญา ไม่ใช่กลุ่มที่ขอสินเชื่อไปใช้ในการกินและใช้จ่ายประจำวัน

นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ลดวงเงินการปล่อยสินเชื่อลงมาอยู่ในระดับ 4-5 แสนบาทเพื่อควบคุมความเสี่ยง

นายธนันท์ ลิ้มสายพรหม รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท เงินเทอร์โบ (TURBO) เปิดเผยผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 1,517.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 235.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 285.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่พอร์ตสินเชื่อเติบโตเฉลี่ย 31.5% ต่อปี จากปี 2563 ถึงกลางปี 2568

ด้าน ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ หรือ  Net Interest Margin (NIM) อยู่ที่ 19.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 15.1% จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง น่าจะทำให้ NIM มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก ด้านอัตรารายได้รวมหักค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตเฉลี่ย 21.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 18.0% อย่างมีนัยสำคัญ

สะท้อนความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อและลดความเสียหายจากหนี้เสีย โดยมีหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 4.1% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา โดยจะยังรักษาระดับไม่ให้สูงไปกว่านี้

ขณะที่ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.5 เท่า สามารถที่จะเติบโตด้านสินเชื่อได้อีก