ทริสฯ ขยับจีดีพีปี’68 โต 2.1% ส่งออกหนุน-ปี’69 ชะลอตัว

HoonSmart.com>> “ทริสเรทติ้ง” ปรับประมาณการการเติบโตของ GDP ไทยปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.1% จาก 1.8% ผลการเร่งตัวของการส่งออกสินค้าและอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่แข่งขันได้ ด้านในปี 2569 คาดเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงสู่ระดับ 1.9% จากอุปสงค์ต่างประเทศที่อ่อนตัว ตามภาษีของสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ

บริษัททริสเรทติ้ง ได้ปรับประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.1% จาก 1.8%

มีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่เร่งตัวขึ้น ก่อนที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้  โดยในเดือนสิงหาคม สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีตอบโต้สำหรับไทยที่ 19% ซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้และใกล้เคียงกับประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน

นอกจากนี้ การลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่สองยังคงสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อการประมาณการการเติบโตดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตขององค์ประกอบอื่น ๆ ของ GDP โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน การอุปโภคภาครัฐ รวมถึงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มที่อ่อนลงตามข้อมูลจริงในไตรมาสที่สอง ขณะเดียวกัน การส่งออกบริการมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้า เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 33.1 ล้านคนจาก 36 ล้านคนที่คาดไว้เดิม

สำหรับปี 2569 GDP มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงสู่ระดับ 1.9% จากอุปสงค์ต่างประเทศที่อ่อนตัว หากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อยในปี 2569 ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและฐานที่สูงในปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงจากปี 2568 สอดคล้องกับการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ตาม การส่งออกบริการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน

สมมติฐานหลักที่ใช้ในการประมาณการ จากการคาดว่าราคาน้ำมันจะทยอยปรับลดลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในปี 2568–2569 อยู่ในระดับต่ำ

ราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในช่วง 63–73 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568 และ 60–70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2569 ซึ่งสะท้อนถึงราคาน้ำมันดิบที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของทั้งกลุ่ม OPEC Plus และผู้ผลิตน้ำมันประเทศอื่น ๆ

ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.2% ในปี 2568 และอยู่ในช่วง 0.25%–0.75% ในปี 2569 โดยในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2568 (7M68)   อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 0.20% และ 0.95% ตามลำดับ

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 33.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเป็น 33.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2569 โดยสะท้อนถึงการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหลักท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อ่อนแออันเป็นผลจากมาตรการภาษีนำเข้า โดยรวมแล้ว

อัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี 2568 โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งเพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวภายใต้เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ สำหรับปี 2569 ทริสเรทติ้งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกหนึ่งครั้งเนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สื่อสารถึงขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) ที่มีอยู่จำกัด

ในปี 2568 การเร่งตัวของการส่งออกและอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่สามารถแข่งขันได้เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในปี 2568 การส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นสู่ระดับ 4.1% จากประมาณการเดิมที่ 1.2% สะท้อนถึงการเร่งตัวของการส่งออกสินค้าก่อนที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยในภาพรวม มูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 14.4% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568

ขณะที่การส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ขยายตัวถึง 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน ในด้านรายอุตสาหกรรม การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรและอุปกรณ์ ขยายตัว 47.5% และ 16.9% ตามลำดับ

อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่กำหนดไว้สำหรับสินค้าไทยที่ระดับ 19% ถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเผชิญความเสี่ยงในเชิงลบน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ยังคงประมาณการการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนในปี 2568 ไว้ที่ 1.8% โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 (Q2/2568) การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น 4.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (รูปที่ 1) ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มยานยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และอุปกรณ์สำนักงาน ทั้งนี้ การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่เหลือของปี สอดคล้องกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่มีความชัดเจนเพิ่มขึ้น

ในปี 2568 ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนลงเหลือ 2.1% จากเดิมที่ 2.3% สอดคล้องกับระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมาอยู่ที่ 51.7 ในเดือนกรกฎาคม 2568 จาก 59.0 ในเดือนมกราคม สะท้อนความเชื่อมั่นที่อ่อนแอลงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงก่อนที่ผลของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะมีความชัดเจนในเดือนสิงหาคม ทั้งการอุปโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจน้อยกว่าที่เคยคาดไว้ สะท้อนจากข้อมูลไตรมาสที่ 2 ที่อ่อนแอลง

ดังนั้น จึงปรับลดประมาณการการอุปโภคภาครัฐลงเหลือเติบโต 1.9% จากเดิมที่ 2.5% โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 การอุปโภคภาครัฐขยายตัว 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจาก 3.4% ในไตรมาสแรก สาเหตุหลักมาจากค่าตอบแทนพนักงานและการจัดซื้อสินค้าและบริการที่เติบโตลดลง

นอกจากนี้ ยังปรับลดคาดการณ์การลงทุนภาครัฐลงเหลือเติบโต 3.5% จากเดิมที่ 5.2% โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 การลงทุนภาครัฐขยายตัว 10.1%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจาก 26.3% ในไตรมาสแรก (รูปที่ 3) การชะลอตัวดังกล่าวสะท้อนถึงการลงทุนที่ลดลงทั้งในด้านการก่อสร้างและเครื่องจักรและอุปกรณ์ของภาครัฐ โดยอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 13.5% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 21.5% ในไตรมาสเดียวกันของปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ

การส่งออกบริการมีแนวโน้มชะลอลงจากประมาณการเดิม ตามการปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 36 ล้านคน เหลือ 33.1 ล้านคนในปี 2568 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเพียง 4.6 ล้านคน ลดลงจาก 6.7 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลด้านความปลอดภัยในประเทศไทย และความนิยมที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนในการเดินทางไปยังประเทศอื่น เช่น ประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ชาวจีนยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งที่ระดับ 28.5 ล้านคน ใกล้เคียงกับระดับ 28.8 ล้านคนในปี 2567

ในปี 2569 การเติบโตทางเศรษฐกิจถูกกดดันจากการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงท่ามกลางอุปสงค์ต่างประเทศที่ซบเซา
ในปี 2569 อัตราการเติบโตของ GDP คาดว่าจะชะลอลงเหลือ 1.9% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการส่งออกสินค้าที่อ่อนแอลง ขณะที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปีดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงและอุปสงค์ต่างประเทศอ่อนตัว ดังนั้น การส่งออกสินค้าและบริการจึงมีแนวโน้มหดตัว 0.5% ในปี 2569 ตามภาวะเศรษฐกิจโลก และการเร่งส่งออกล่วงหน้าในปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 1.8% และ 1.5% ตามลำดับ ซึ่งชะลอลงจากปี 2568 สอดคล้องกับแนวโน้มการส่งออกสินค้า การอุปโภคภาครัฐคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ 0.7% เนื่องจากงบรายจ่ายประจำในปี 2569 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2568 การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.6% โดยอิงจากสมมติฐานว่าอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2569 จะเพิ่มขึ้น สำหรับปีหน้าคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 35 ล้านคน ทั้งจากจีนและประเทศอื่น ๆ ส่งผลให้การส่งออกบริการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูงในอนาคต
ในระยะข้างหน้า ความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูง โดยการเจรจาอัตราภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้ ในกรณีที่สหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราภาษีต่อจีนอย่างมีนัยสำคัญ การส่งออกของไทยไปยังจีนอาจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนเพื่อส่งต่อไปยังสหรัฐฯ เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจส่งผลให้ดุลการค้าของไทยปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกบางประการเช่นในกรณีที่ศาลฎีกาของสหรัฐฯ มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีดังกล่าวขัดต่อพระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศไทยเองก็อาจส่งผลให้การอนุมัติและการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐล่าช้าในระยะข้างหน้า

นอกเหนือจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ แล้ว ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะเดียวกัน วัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักอาจส่งผลให้ค่าเงินของตลาดเกิดใหม่แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก