HoonSmart.com>>ตลท.–ก.ล.ต.–สมาคมบริษัทจัดการลงทุน–กบข. ผนึกกำลังปฏิรูปครั้งใหญ่ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่–ปรับเกณฑ์ IPO–เปิดข้อมูลโปร่งใส–เสนอจัดตั้งกองทุนออมภาคบังคับ หวังเพิ่มสภาพคล่อง ดึงนักลงทุนทั่วโลกกลับเข้าตลาดไทย
เวทีเสวนาหัวข้อ”Reforming the Market: Capital Markets at an Inflection Point” (ปฏิรูปตลาดทุน: จุดเปลี่ยนสำคัญสู่ตลาดทุนยุคใหม่) ภายใต้งาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges มีผู้ร่วมอภิปราย ประกอบด้วย ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. , นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลท., นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคม AIMC และ นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการ กบข. ดำเนินรายการโดย Mr. Alex Manoonpol จาก UBS Thailand
ตลท.โจทย์ใหญ่สินค้าต้องถูกใจ
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศจำเป็นต้องมี “supply” ที่น่าสนใจ เช่น ผลิตภัณฑ์จากเศรษฐกิจใหม่ สตาร์ทอัพ และบริษัทเทคโนโลยี พร้อมทั้งเสริมสภาพคล่องผ่านการสื่อสารข้อมูลที่มีคุณภาพ โดยโครงการ JUMP+ ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น
“ตลท. ยังอยู่ระหว่างศึกษาการเปลี่ยนเงินออมให้กลายเป็นเงินลงทุน โดยอ้างอิงโมเดลจากญี่ปุ่น เช่นบัญชี NISA ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนรายย่อย”นายอัสสเดช กล่าว
ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์ IPO
ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ได้ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนมีมาตรฐานเท่าเทียมกัน พร้อมผลักดันให้มีการเปิดเผยข้อมูลรายไตรมาสแทนการรายงานปีละครั้ง
ในอนาคตก็จะทำให้การเปิดเผยข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนของไทยได้รับการมองเห็นมากขึ้นจากนักลงทุนต่างประเทศ เพราะการเปิดเผยข้อมูลนั้นสอดคล้องมาตรฐานต่างประเทศ
ก.ล.ต. ยังเตรียมปรับกระบวนการ IPO ให้กระชับขึ้น และเพิ่มความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงพัฒนา “ระบบเตือนภัย” ด้วยเครื่องมือดิจิทัล เพื่อป้องกันความผิดปกติในตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะกับกลุ่ม gatekeeper เช่นบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี เพราะเชื่อว่าทุกคนอยากเห็นการจัดการคดีต่าง ๆ ให้รวดเร็วมากขึ้น
รวมถึง การแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจมากขึ้น สามารถใช้กฎหมายจัดการกับผู้กระทำผิดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การกระตุ้นให้ตลาดก้าวไปข้างหน้า และคงความสามารถการแข่งขัน รวมถึงความเชื่อมั่นในกลไกหรือระบบการซื้อขายของตลาดทุนไทย
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนสถาบันเร่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. บังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วขึ้นเข้มข้นขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคุ้มครองนักลงทุน
บลจ.หวังไทยมีกองทุนออมภาคบังคับ
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา คือ ปัญหาบรรษัทภิบาลบริษัทจดทะเบียน หรือ Corporate Governance ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และบริษัทจดทะเบียนไทยมีความน่าสนใจน้อยเมื่อเทียบกับตลาดคู่แข่ง
ทั้งนี้ ในนามนักลงทุนสถาบัน ได้เสนอแนะ 3 ข้อเสนอ ประกอบด้วย
1. ให้มีการออกกองทุนระยะยาวมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ ซึ่งจะช่วยให้เงินออมจากแรงงานกว่า 22 ล้านคนไหลเข้าสู่ตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีแรงงานเพียง 3 ล้านคนเท่านั้นที่มีการออมภายใต้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคสมัครใจ หากมีกองทุนภาคบังคับดังกล่าว สภาพคล่องก็จะไหลเข้าตลาดทุนอย่างสม่ำเสมอ
ยกตัวอย่าง ประเทศญี่ปุ่น มีบัญชีการออมส่วนบุคคล (Japan Individual Savings Account :NISA)ให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนได้หลากหลายทั้งในกองทุนรวมและซื้อหุ้นรายตัว รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเสริมนักลงทุนรายย่อยให้ลงทุนในระยะยาวโดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนใน NISA ด้วย
2. ตลท. และ ก.ล.ต.มุ่งไปที่ระบบป้องกันการกระทำความผิดของบริษัทจดทะเบียน ที่รวดเร็วทันการณ์มากขึ้น ในบางจุดอยากให้มีการรวมศูนย์การกำกับดูแลไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ลดความกระจัดกระจายของข้อมูลการกำกับดูแลลง เพื่อให้หน่วยงานกำกับดูแลใช้ข้อมูลเดียวกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับและดูแลตลาด
3.ให้เพิ่มคุณภาพของการรายงานข้อมูลบริษัทจดทะเบียน เพื่อที่จะทำให้นักลงทุนเข้าใจในสถานะที่แท้จริงของบริษัทได้ดีขึ้น ก่อนการตัดสินใจลงทุน
กบข.กล้าเสี่ยงมากขึ้น
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข.มีการลงทุนในสินทรัพย์เติบโต (Growth Asset) 40% และ ลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงตราสารหนี้ (Fixed Asset) 60% โดยมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เติบโตถึง 50% หรือ 60% เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด หรือ Private Equity Fund ด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการส่งเสริมให้บริษัทเอสเอ็มอีของไทยสามารถเติบโตจนเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในอนาคต
“เรายังส่งเสริมให้สมาชิกซึ่งมีอยู่ 1.2 ล้านราย ลงทุนมากกว่าที่กฎหมายบังคับไว้ขั้นต่ำที่ 3% ของเงินเดือน โดยสามารถออมได้ถึงระดับ 27% ของรายได้ ซึ่งที่ผ่านมาเห็นการออมเพิ่มขึ้นของสมาชิก ส่วนหนึ่งจากการเกิดขึ้นของกองทุนรวมวายุภักษ์”นายทรงพล กล่าว
