“เชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์” CEO คนใหม่ ผ่าตัด NPPG ตั้งเป้าปีหน้าเทิร์นอะราวด์พลิกโชว์กำไร ลุยกวาดบ้านล้างธุรกิจเก่า รับปีนี้ขาดทุนพุ่ง
นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) หรือ NPPG เข้ามาผ่าตัดบริษัทที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งแผนระยะยาวบริษัทจะต้องมีโครงสร้างรายได้มั่นคง สมดุลจะดีขึ้นกว่าเดิม โดยตั้งเป้าว่าปีหน้าจะเริ่มมีกำไรอย่างน้อย 5% และรายได้เติบโต 10-15% จากปีนี้ หรือเป็น 1,450 ล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าจะมีผลขาดทุนมากที่สุด โดยวิธีการฟื้นฟูกิจการ NNPG เทิร์นอะราวด์ในปีหน้า ซึ่งจะนำแผนเสนอคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธ.ค.นี้
สำหรับแผนดังกล่าว ประกอบด้วย 1.สร้างจากฐานธุรกิจเดิม 2.ต้องลดขนาดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรและไม่ตรงกับธุรกิจหลัก 3.ต้องขยายธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต เช่น A&W แต่ต้องมีการบริหารจัดการ แต่ต้องเลือกดูสาขาไหนไม่มีกำไรก็จะต้องปิด ธุรกิจคิชเช่น พลัส ที่โตไปกับโฮมโปร ต้องพิจารณาว่าจะไปด้วยกันกับห้างต่อไปหรือไม่ และบ้านครัวไทย ซึ่งมี 2 สาขา เป็นธุรกิจข้าวแกงในห้องแอร์ เน้นเส้นทางเดินทางกับชุมชน ก็มีการแข่งขันสูง แต่มีโอกาสที่ดีต้องบริหารจัดการที่ดี และ DEAN & DELUCA ที่จับตลาดบนในจังหวัดภูเก็ตก็มีโอกาสเช่นกัน
“ปี 2561 จะเป็นปีที่บริษัทขาดทุนมากที่สุด เพราะในช่วงที่เหลือธุรกิจไหนที่ขาดทุนก็ยอมทิ้งตัดขาดทุน เพราะมีการลงทุนที่ผิดพลาดในอดีต เช่น 9 เดือน ขาดทุน 121 ล้านบาท แต่เป็นการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้น 40 ล้านบาทก็ต้องหยุดขาดทุน และฝ่ายบริหารจะต้องรับผิดชอบกับการนำเงินของผู้ถือหุ้นมาลงทุน ไม่ใช่การใช้เงินสเปะสปะและบริหารแบบเดิมๆ ในเรื่องของคนก็มีค่าใช้จ่ายฝ่ายบริหารสูงเกินไปก็ต้องทำให้สมดุล เพราะหัวต่อขาเล็กไกต่อไม่ได้ เพราะแบกน้ำหนัก ส่วนโรงงานก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ยังมีกำลังการผลิตที่เหลืออยู่ ทุกฝ่ายจะต้องรับผิดชอบตัวเองแบบเบ็ดเสร็จห้ามมากู้เงินบริษัทแม่มากเกินไป”นายเชิดศักดิ์ กล่าว
สาเหตุที่บริษัทขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปี 2558 จากขาดทุน 139 ล้านบาท และปี 2559 ขาดทุนจำนวน 137 ล้านบาทและปี 2560 ขาดทุน 367 ล้านบาท และปีนี้ 9 เดือนขาดทุนจำนวน 121 ล้านบาทและจะขาดทุนมากขึ้นจากการตัดขาดทุนธุรกิจก็ต้องระวัง การติดเกณฑ์เครื่องหมาย C
ด้านราคาหุ้น NPPG พุ่งแรง เก็งกำไรข่าวดังกล่าว ดันราคาหุ้นขึ้นสูงสุด รอบ 7 เดือน ที่ 1.47 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท หรือ 13.95 % ณ เวลา 11.35 น. ราคาย่ออยู่ที่ 1.41 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท หรือ 9.30 % มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 117.44 ล้านบาท