บล.บัวหลวง ปรับ EPS หุ้นไทย’68 เหลือ 82 บาท มั่นใจ SET ไม่นิวโลว์-สะสมกลุ่มปิโตรฯรับศก.โลกฟื้น

HoonSmart.com>>บล.บัวหลวง ปรับลด EPS หุ้นไทยปี’68 เหลือ 82 บาทต่อหุ้น จากเดิม 92 บาทต่อหุ้น มั่นใจตลาดหุ้นไทยไม่ทำนิวโลว์ คาดยืน 1,050 จุดได้ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ถดถอย การเมืองไทยยังอยู่ในกรอบประชาธิปไตย คาด SET ปรับฐานไตรมาส 3 ก่อนเริ่มฟื้นตัวปลายปี มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ รอบสองกระทบไม่แรง ให้เป้าสิ้นปีแตะ 1,280 จุด แนะนักลงทุนทยอยสะสมหุ้นปันผล+กลุ่มปิโตรเคมี ช่วงตลาดปรับฐาน

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล. บัวหลวง กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (เดือนม.ค.- ก.ค. 2568) ให้ผลตอบแทนติดลบ 10.06% โดยยังเผชิญความไม่แน่นอนจากหลากหลายปัจจัย เช่น มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงและรอการแก้ไข, เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่จากปัจจัยการเมืองขาดเสถียรภาพ

ส่งผลให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและกำไรต่อหุ้น(EPS) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2568 ลงจาก 92 บาทต่อหุ้น เหลือ 82 บาทต่อหุ้น จากงบการเงินครึ่งปีแรกที่ออกมา ไม่ได้ดีกว่าที่คาด และการที่หุ้นขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากเงินทุนไหลเข้า ค่าเงินบาทแข็ง ราคาหุ้นต่ำกว่าบุค แต่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยน

แม้ภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 จะเติบโต เมื่อเทียบปีต่อปี และไตรมาสต่อไตรมาส แต่เป็นผลมาจากมีรายการพิเศษเข้ามา ในหุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย และมีกำไรของหุ้นบริษัทการบินไทยเข้ามา และการปรับมูลค่าทางบัญชีของหุ้นในกลุ่มพลังงาน หากตัดรายการพิเศษดังกล่าวออกไป พบว่ากำไรหลักยังคงอยู่ในระดับ “ตามคาด” นอกจากนี้ จำนวนบริษัทที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ยังลดลงด้วย

Q3 จุดต่ำสุดเศรษฐกิจ-หุ้น คาด 1,050 ยันได้

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ ประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุด ก่อนจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 หากความเสี่ยงทางการเมืองไม่มีความรุนแรงและสามารถหาจุดลงตัวได้ ทำให้ SET Index ปรับฐาน โดยแนวรับที่ 1,050 จุดที่เป็นจุดต่ำสุดเดิมยังแข็งแกร่ง แต่ถ้าเลวร้ายสุดให้แนวรับที่ 1,030 จุด มองว่าจะไม่ทำจุดต่ำสุด หรือ นิวโลว์ ใหม่ หากเศรษฐกิจสหรัฐไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง และการเมืองไทยยังอยู่ในกรอบประชาธิปไตย

ภาพการเมืองในปัจจุบัน ยังไม่เปลี่ยน landscape ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะยังไม่รีบยุบสภา เพราะถ้ายุบอาจได้ที่นั่งไม่ถึง 100 คาดว่าจะพยายามยื้อเวลาเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า

หากมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เช่น การลาออกของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน จะมีการผลักดันนายชัยเกษม นิติสิริ ขึ้นมาแทน ตลาดอาจตอบรับในลักษณะ “ปรับตัวระยะสั้น” มากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

“สิ่งที่ตลาดต้องการเห็นคือการลงทุนภาครัฐที่มีขนาดใหญ่และต่อเนื่อง หากงบลงทุนต่ำกว่า 3-4 ล้านบาท จะไม่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยงบฉุกเฉินที่มีอยู่ราว 1.5 แสนล้านบาทถือเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว และยังขาดความต่อเนื่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ”นายชัยพร กล่าว

ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มไม่ส่งผลกระทบเกินคาด เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน และจะยังไม่ดึงกลุ่มลงทุนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตเข้ามา เพราะกลุ่มนี้จะรอดูผลภาษีของจีนก่อน แต่กลุ่มที่ลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ยังคงเติบโต

ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว มีโอกาสที่หุ้นไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัวสู่เป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2568 ในกรอบ 1,280 จุด โดยอ้างอิงสมมติฐานการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 6.6% และค่า P/E เฉลี่ย 15.7 เท่า

“Global Play”นำตลาดรอบนี้

ภายใต้กรอบดังกล่าว แนะนำนักลงทุนใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้น โดยมองว่า หุ้นกลุ่ม “Global Play” ที่มีการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกและมูลค่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เช่น กลุ่มปิโตรเคมี ที่มีสัดส่วน 45% ของมาร์เก็ตแค็ป  และมีสัดส่วนกำไรมากถึง 30% ของกำไรรวม มีโอกาสรีบาวด์จากสเปรดที่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว กลุ่มนี้จะเป็นผู้นำดัชนี, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ผลิตอาหารสัตว์ มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มนำตลาดรอบนี้ หากเศรษฐกิจโลกปรับตัวขึ้น
ขณะที่หุ้นกลุ่ม “Domestic Play” ยังถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า

ระวังกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ ยอดจองอสังหาฯ เดือนมิถุนายนลดลง 11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 18% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส,ธนาคารยังไม่ปล่อยสินเชื่อ แม้ดีมานด์ยังมี, กลุ่มการก่อสร้าง, กล่่มไฟแนนซ์เช่าซื้อ, สินเชื่อบุคคล แม้ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง แต่ NPL ยังมีความเสี่ยง และกลุ่มสื่อมีเดีย
ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลางถึงน้อย ได้แก่ ธนาคาร, ร้านสะดวกซื้อ, โรงพยาบาล และท่องเที่ยว

“หุ้นไทยปรับตัวลงแรงจนใกล้เคียงระดับที่เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตการณ์สำคัญในอดีต เช่น วิกฤตเลห์แมน บราเธอร์ส, วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และต่ำกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราจึงประเมินว่า Downside ของตลาดหุ้นไทยมีจำกัด โดยระดับ 1,050 -1,080 จุด มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดขึ้นอีก

อัตราดอกเบี้ยลงได้อีก

อย่างไรก็ดี ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว หากตัวเลขเงินเฟ้อได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประมาณ 1-2 ครั้ง รวม 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจปรับลดเพิ่มเติมในปี 2569
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปี และอีก 1 ครั้ง ในปี 2569 สอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ระดับต่ำที่ประมาณ 1%

กลุ่มอาหารสัตว์ดีรับภาษีนำเข้า

นายชัยพร กล่าวว่า สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดจะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เช่น กลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ เช่น BTG, TFG, GFPT และ CPF ซึ่งได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่ลดลง เช่น ข้าวโพดและถั่วเหลืองจะได้รับผลดีจากราคานำเข้าที่ลดลง 10-20% ประเมินว่า กลุ่มดังกล่าวจะมีผลบวกต่อกำไรเฉลี่ย 13.7% โดย BTG จะได้รับผลบวกสูงสุด 16.49%

ในทางกลับกัน กลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA ที่มีสัดส่วนรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ประมาณ 20-30% แต่ DELTA อาจได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Data Center, Cloud และ AI ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะที่กลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU และบริษัทลูก ITC ที่มีรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างสูงอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนภาษี แต่ยังมีโอกาสบรรเทาผลกระทบผ่านการเจรจากับผู้นำเข้าสหรัฐฯ

แนะพักเงินที่ตราสารหนี้ 56%

สำหรับกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุน ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ ให้น้ำหนักการลงทุน “ตราสารหนี้” ในระดับสูงกว่าปกติที่ประมาณ 56% (จากระดับปกติไม่เกิน 20%) เพื่อรับประโยชน์จากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ย และสามารถควบคุมความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ดี ขณะที่ให้น้ำหนักในหุ้น 48% และทองคำ 6%

ในส่วนของการลงทุนในหุ้น แนะนำกระจายลงทุนในต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯ 11%, ญี่ปุ่น 4%, จีน (เน้นกลุ่มเทคโนโลยี) 7%, เวียดนาม 7%, อินเดีย 4% และไทย 5%

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนในต่างประเทศยังสามารถเลือกลงทุนผ่านตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DR ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ปัจจุบันหลักทรัพย์บัวหลวง มี DR01 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) รวมทั้งสิ้น 27 หลักทรัพย์ ครอบคลุมการลงทุนในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา, จีน, ฮ่องกง, เวียดนาม, อินเดีย, ญี่ปุ่น และหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง และยุโรป โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
(มาร์เก็ตแคป) 13,677.5 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดราว 40% ของทั้งอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2568)

14 หุ้นปันผลไทยน่าเก็บ

บล.บัวหลวง ยังมีการเจาะลึกรายละเอียดของการเลือกหุ้นไทยที่สามารถลงทุนได้ในสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว  ผ่านพอร์ต “All Season Dividend” มี 14 บริษัท ให้น้ำหนักการลงทุนรายตัวที่ 7.1% เท่ากันหมด คาดจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีราว 4.8% หากซื้อก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD 1 วัน

โดยคัดเลือกหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2568–2569 เพื่อลด Pain Point ที่ว่าปันผลดี แต่ขาดทุนราคา ประกอบด้วย BBL,KBANK,KTB,SCB,TISCO,TTB,COM7,CPN,HMPRO,PTT,PTTEP,BDMS,ADVANC,WHAUP

กลุ่มธนาคารเด่น: SCB,TISCO,KTB, KBANK ,TTB และ BBL มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 6% ขึ้นไป

ขณะที่หุ้นปันผลระหว่างกาลสูงสุดในปี 2568 และ ปี 2569  ประกอบด้วย ADVANC, BDMS และ BBL

ในช่วงฤดูกาลปันผลกลางปี หุ้น 14 ตัวในพอร์ต “All Season Dividend” ถูกคัดเลือกจากสถิติการจ่ายปันผลระหว่างกลาง โดย ADVANC คาดว่าจะให้ผลตอบแทนระหว่างกลางปีที่ 2.0%, BDMS ที่ 1.9% และ BBL ที่ 1.4% ซึ่งสะท้อนความต่อเนื่องในการสร้างรายได้ให้ผู้ถือหุ้น

การลงทุนในหุ้นปันผลจะช่วยสร้างรายได้ประจำ และยลดความผันผวนของพอร์ตในช่วงตลาดไม่แน่นอน โดยเฉพาะในภาวะที่การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) มีแนวโน้มชะลอตัวจากปัจจัยภายนอก