HoonSmart.com>>”กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีฯ ” (GULF) สร้างสถิติใหม่ไตรมาส 2/68 กำไรจากดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 7,101 ล้านบาท โต 27% กำไรสุทธิพุ่งแตะ 63,871 ล้านบาท ธุรกิจพลังงานไปได้ดี รับรู้ส่วนแบ่งกำไร AIS 3,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% กำไรพิเศษควบรวม INTUCH รับปันผลธนาคารกสิกรไทย 977 ล้านบาท ลั่นปีนี้รายได้โตเข้าเป้า 25% พลังงานหมุนเวียนมากกว่า 40%ถึงเส้นชัยเร็วกว่าแผน กำลังพัฒนาอีกกว่า 10,000 MW ลุยลงทุนอีกกว่า 1 แสนล้านบาท ใน 3-5 ปี
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2568 สร้างสถิติใหม่ด้วยกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7,101 ล้านบาท เติบโต 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 5,611 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิพุ่งสูงถึง 63,871 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 4.28 บาท โดยมีปัจจัยหลักจากการเติบโตของธุรกิจพลังงาน การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก AIS และกำไรพิเศษจากการควบรวมกิจการกับ INTUCH
กำไรสุทธิส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกำไรจากการรวมธุรกิจ (gain from amalgamation) จำนวน 56,120 ล้านบาท (ควบรวมธุรกิจกับ INTUCH เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 บริษัทฯ จึงได้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 กับข้อมูลทางการเงินรวมเสมือนของไตรมาส 2/2567)
สาเหตุหลักที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้น มาจากการเติบโตของธุรกิจพลังงาน ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยรับรู้ผลกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ครบทั้ง 4 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 2,650 เมกะวัตต์) ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2567 เทียบกับในไตรมาส 2/2567 ที่รับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้า GPD เพียง 3 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 1,987.5 เมกะวัตต์)
นอกจากนี้รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกอง (HKP) ครบทั้ง 2 หน่วย (กำลังการผลิตรวม 1,540 เมกะวัตต์) ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2567-2568 เทียบกับในไตรมาส 2/2567 ที่รับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้า HKP เพียง 1 หน่วย (กำลังการผลิต 770 เมกะวัตต์) อีกทั้ง GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 134 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนจำนวน 164 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 จากค่า Capacity Payment เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิ.ย.2567 ถึงพ.ค. 2568 เป็น 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิ.ย. 2568 ถึงพ.ค. 2569 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาด Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ในขณะที่ปริมาณไฟฟ้าเสถียรที่จ่ายเข้าสู่ระบบลดลง
บริษัทฯยังรับรู้ผลกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ในประเทศ จำนวน 5 โครงการ (กำลังการผลิตรวม 532 เมกะวัตต์) ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนธ.ค. 2567
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP ลดลง 22% จาก 643 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 เป็น 500 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เนื่องจากโครงการ IPP ทั้ง 2 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP ได้แก่ โรงไฟฟ้ากัลฟ์ หนองแซง (GNS) และโรงไฟฟ้ากัลฟ์ อุทัย (GUT) มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลดลง ตามความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมของประเทศที่ชะลอตัว โดย GNS มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 52% เป็น 19% ในขณะที่ GUT มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 40% เป็น 5%
ขณะเดียวกัน กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง เนื่องจาก ปตท. เรียกเก็บค่าก๊าซย้อนหลังจากการตรึงราคาก๊าซในช่วงปลายปี 2566 เพื่อช่วยพยุงราคาไฟฟ้าที่ 3.99 บาทต่อหน่วยในช่วงวิกฤตพลังงาน ซึ่งต่อมาในเดือนมิ.ย. 2568 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติเห็นชอบให้ ปตท. ดำเนินการเรียกคืนเงินส่วนต่างมูลค่าก๊าซที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทฯ จึงบันทึกส่วนต่างราคาก๊าซในไตรมาส 2/2568 โดยจะทยอยชำระเป็น 6 งวด ตามรอบการปรับค่า Ft นอกจากนี้ ราคาค่า Ft เฉลี่ยลดลงในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติ โดยค่า Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 0.25 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 319.6 บาท/ล้านบีทียู เป็น 317.3 บาท/ล้านบีทียู
สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไรลดลง 17% จาก 751 ล้านบาท เป็น 626 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาค่าก๊าซที่ ปตท. เรียกเก็บย้อนหลัง และค่า Ft ที่ลดลงตามที่กล่าวมาข้างต้น อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มบริษัทฯ มีเพียง 6% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทฯ จึงได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรที่ลดลง จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 84% เป็น 70% นอกจากนี้ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ลดลงจากทั้งโครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation (GGC) และโครงการ Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี จากความเร็วลมที่ลดลง โดย GGC มีความเร็วลมเฉลี่ยลดลงจาก 5.5 เมตร/วินาที เป็น 4.8 เมตร/วินาที และ BKR2 มีความเร็วลมเฉลี่ยลดลงจาก 8.4 เมตร/วินาที เป็น 7.5 เมตร/วินาที
ในส่วนของธุรกิจก๊าซ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 208 ล้านบาท ลดลง 45% จาก 382 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันเตาลดลง จาก 81.6 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เป็น 70.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล มากกว่าราคาค่าก๊าซธรรมชาติลดลงจาก 337.8 บาท/ล้านบีทียู เป็น 330.3 บาท/ล้านบีทียู สำหรับธุรกิจจัดหาและขนส่งก๊าซธรรมชาติภายใต้ GLNG และ HKH ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ได้นำเข้า LNG มาแล้วจำนวนรวม 29 ลำ หรือประมาณ 2 ล้านตัน ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จาก shipper fee ที่เพิ่มขึ้น
“ในไตรมาสที่ 2/2568 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน AIS จำนวน 3,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จาก 2,476 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของ ARPU ซึ่งมุ่งเน้นจำหน่ายแพ็กเกจที่มีมูลค่าสูงขึ้น การส่งเสริมการใช้งานเครือข่าย 5G ประกอบกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังรับรู้เงินปันผลรับจากการลงทุนในธนาคารกสิกรไทย (KBANK) จำนวน 977 ล้านบาท”
บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 13,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 11,079 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567
ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 742,205 ล้านบาท หนี้สินรวม 396,105 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 346,100 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 0.87 เท่า
ยังคงเป้าหมายรายได้ปี 68 โต 25%
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 25% โดยไตรมาส 2/2568 เป็นไตรมาสแรกที่ GULF เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นโดยตรงใน AIS ในสัดส่วน 40.4% ภายหลังจากการควบรวมบริษัทเสร็จสิ้นเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกัน รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากค่า Capacity Payment ที่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของ data center เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทยอยปลดระวางลง โดยค่า Capacity Payment จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในช่วงกลางปี 2569 จาก 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน เป็น 329 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน
พลังงานหมุนเวียน 40% เข้าเป้าเร็วกว่าแผน
ปัจจุบันบริษัทฯ ได้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 40% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมภายในปี 2578 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนทั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมมากกว่า 10,000 เมกะวัตต์ ครอบคลุม 5 ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม ลาว เยอรมนี และสหราชอาณาจักร โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 9 โครงการ กำลังการผลิตรวม 653 เมกะวัตต์ ร่วมกับบริษัท GUNKUL และโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 437 เมกะวัตต์ ร่วมกับบริษัท บลู สกาย วินด์ พาวเวอร์ โฮลดิ้ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 40% เป็น 100% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากลายกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ใน สปป.ลาว รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 100% ในโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 12 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 119 เมกะวัตต์ และโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม 3 โครงการ
GULF จะยังคงมุ่งมั่นในการเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวของบริษัทฯ ในการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 ต่อไป
สำหรับธุรกิจจัดหาและขนส่งก๊าซธรรมชาติ ในปี 2568 กลุ่มบริษัทฯ มีแผนจะนำเข้า LNG ทั้งหมดประมาณ 70 ลำ หรือคิดเป็นปริมาณรวม 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC GPD HKP และ SPP 19 โครงการ ในส่วนของลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจก๊าซอย่างต่อเนื่อง
เป้า 3 ปี ธุรกิจดิจิทัล 200-300 MW
ขณะที่ธุรกิจดิจิทัลยังคงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ โดยธุรกิจ data center ซึ่งบริษัทฯ ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS ได้เริ่มทะยอยเปิดให้บริการเฟสแรก ขนาด 25 เมกะวัตต์ ไปเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนขยายเป็น 200-300 เมกะวัตต์ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย สำหรับธุรกิจ cloud บริษัทฯ ร่วมทุนกับ AIS เพื่อให้บริการระบบคลาวด์ทั้งในรูปแบบ public cloud และ private cloud โดยร่วมมือกับ Oracle และ Google ในการพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างครอบคลุมทั้งลูกค้าองค์กร ลูกค้า SMEs หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ
ทุ่มกว่า 1 แสนล้านบาท ลุยลงทุน 3-5 ปี
บริษัทฯ มีแผนลงทุน (equity investment) รวมกว่า 100,000 ล้านบาท ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมภายในประเทศ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม และธุรกิจ data center เพื่อสนับสนุนแผนการเติบโต บริษัทฯ มีแผนออกหุ้นกู้วงเงินรวมประมาณ 30,000 ล้านบาทในเดือนก.ย.นี้ ซึ่งจะเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ และประชาชนทั่วไป โดยจะนำเงินไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และขยายธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
