หุ้นไทยเชิงเทคนิคเคิลผ่านจุดต่ำสุด 4 สัญญาญบวกไปต่อได้-ลุ้น MSCI

HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ฯชี้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยทางเทคนิคเคิลผ่านจุดต่ำสุด พลิกเข้าเทรนด์ขาขึ้น ด้านปัจจัยพื้นฐาน 4 สัญญาญบวกไปต่อได้ ภาษีการค้า 19% หนุนการส่งออกโตเพิ่มเท่าตัว จีดีพีขยับขึ้น ค่าบาทแข็ง ทุนไหลเข้าเอเชีย คดี MORE ต้องย้ำกระบวนการกำกับเข้ม ลุ้นน้ำหนักในดัชนี MSCI สัปดาห์หน้าหลังอินเดียถูกเก็บภาษี 50% ฉุดเสน่ห์ลด หุ้นไทยอาจเป็นดวงดาวที่อยู่ในลำดับดีขึ้น หลังก.ค.ทำสถิติพุ่งสูงสุดในอาเซียนแซง MSCI ASEAN, Asia ex Japan และ EM

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงทิศทางหรือโมเมนตัมดัชนีหุ้นไทยนับจากนี้ส่งสัญญาญบวกทั้งด้านเทคนิคและพื้นฐาน

ในทางเทคนิคเคิล หุ้นไทยได้ออกจากจุดต่ำสุดแล้ว กำลังตั้งทิศเป็นขาขึ้น

ในทางปัจจัยพื้นฐาน มี 4 สัญญาญบวกที่มีแรงส่งให้ไปต่อได้

1.อัตราภาษีการค้าที่สหรัฐฯเก็บจากไทย 19% ต่ำกว่าหลายประเทศ เช่น อินเดีย 50% และเวียดนาม 20% ทำให้ผู้ส่งออกของไทยยังรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันได้ และ
-ประเทศที่เจรจาภาษีสำเร็จ เช่น เกาหลีและเวียดนาม มีผลตอบแทนตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นชัดเจน
-ไทยบรรลุข้อตกลงเช่นเดียวกัน คาดหุ้นไทยมี Upside ต่อเนื่อง


-สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) มีการปรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี เพิ่มจาก 2.1% เป็น 2.2% แม้จะเล็กน้อยแต่ยืนยันว่าพื้นฐานได้รับการยืนยันว่าดีขึ้นจากที่คาดว่าการส่งออกจะเพิ่มเป็น 5.5% จาก 2.3% และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะแตะ 34.5 ล้านคน
-การลงทุนภาครัฐเพิ่มเป็น 3.9% จากเดือนเม.ย.อยู่ที่ 2.8% ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจเริ่มกลับมา
– บริษัทจดทะเบียนที่มีการส่งออก หรือ ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ ที่มีแผนลงทุน มีแผนขยายธุรกิจ น่าจะมีความมั่นใจมากขึ้น และกล้าที่จะตัดสินใจแล้ว

2.เงินบาทยังอยู่ในแนวโน้มแข็งค่า เงินดอลลาร์อ่อนค่า เป็นปัจจัยดึงเงินลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาในไทยได้อย่างต่อเนื่อง โดยความสัมพันธ์ของ SET กับค่าเงิน USD/THB ณ สิ้นเดือนก.ค.อยู่ที่ R² = 0.5074 เมื่อเงินบาทแข็ง SET มักปรับขึ้นตามระดับความผกผันดังกล่าว ซึ่งอดีต ณ บาทที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ SET อยู่ราว 1,700 จุด

3.ในภาพรวมเงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดเอเชีย ทั้งเวียดนาม ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งไทยจะได้อานิสงค์ด้วย จากการที่ P/E ไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่เทียบในภูมิภาคนี้ โดยอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (ต่ำกว่า Mean 13.4)
-จากการพบปะกับกองทุนแบบเชิงรุก (Active Fund)7 แห่งจากต่างประเทศ บอกว่าหุ้นไทยหลายบริษัทมีกำไรดีแต่ราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน ที่ผ่านมารอจังหวะในการเข้าซื้อ เพื่อดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบ ปัจจุบันหลายปัจจัยมีความชัดเจน เงินทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามา

4.คดีหุ้น MORE ที่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ เป็นการยืนยันกระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดี เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ ล่าสุดทางอัยการได้นำตัวผู้ต้องหา 28 ราย จากทั้งหมด 42 ราย ส่งฟ้องต่อศาลฐานความผิดเรื่องการปั่นหุ้น ฉ้อโกง และอั้งยี่ซ่องโจร ศาลพิจารณาไม่ให้ประกันตัวชั่วคราว เป็นผู้ต้องขัง

จับตา MSCI+กำไรบจ.ไตรมาส 2

นายศรพล กล่าวว่า เหลือ 2 ปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางดัชนีหุ้นไทย คือ การประกาศน้ำหนักการลงทุนของดัชนี MSCI รอบใหม่ในวันที่ 8 ส.ค.นี้ ว่าไทยจะถูกเพิ่มน้ำหนักหรือไม่ และ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

เตือนศึกษาพื้นฐานให้แม่นก่อนลงทุน

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในการลงทุนนักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานให้ดีให้แม่นก่อนเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยที่ไม่มีเวลาในการนั่งดูจอตลอดเวลา จะได้ไม่ไปแข่งขันด้านระยะเวลาการเข้าซื้อขายหุ้นกับนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ

เพราะในตลาดหุ้นมีทั้ง เทรดเดอร์ ที่เข้ามาเก็งกำไร และนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนมีทั้งสถาบัน และนักลงทุนรายบุคคล ที่มีการใช้โปรแกรมเทรดดิ้งที่มีความไว และนักลงทุนรายย่อย

หวังหุ้นไทยเป็นดวงดาวลำดับที่ดีขึ้น

นายอัสสเดช กล่าวว่า จากการที่ประเทศอินเดีย ถูกขึ้นภาษีการค้าเป็น 50% จะทำให้ตลาดหุ้นอินเดียลดความน่าสนใจลง ซึ่งในรอบที่ผ่านมาการที่หุ้นไทยถูกลดน้ำหนักในดัชนี MSCI จาก 2.2% เหลือ 1.4% เป็นผลจากตลาดหุ้นอินเดียถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุน
สัปดาห์หน้าถึงรอบที่ MSCI จะมีการประกาศใหม่ หวังว่าตลาดหุ้นไทยจะเป็นดวงดาวอยู่ลำดับที่ดีขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยกองทุนที่เน้นหาผลตอบแทนให้ได้ใกล้เคียงกับดัชนี หรือ Passive Fund ที่มีอยู่ราว 70% ของตลาด จะมีการลงทุนในแต่ละประเทศตามสัดส่วนของดัชนี หรือ ลงทุนตาม Track Index

ก.ค.หุ้นไทยโตสูง 14% ค่าเฉลี่ย EM ขึ้นแค่ 5.8%

 

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นเดือน ก.ค.2568 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น SET Index ปิดที่ 1,242.35 จุด เพิ่มขึ้น 14.0% จากเดือนก่อนหน้า แซงดัชนี MSCI ASEAN, Asia ex Japan และ EM ถือเป็นการฟื้นตัวรายเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกที่ปรับขึ้นเพียง 5.8% ตามดัชนี MSCI Emerging Markets ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 31 ก.ค. 2568 SET Index ปรับลดลง 11.3%

แรงหนุนสำคัญมาจาก
-การอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ระดับต่ำกว่า 97 จุด ซึ่งกระตุ้นให้เงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในเอเชีย
-นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ด้วยมูลค่ารวมกว่า 16,121 ล้านบาท และมีสัดส่วนการซื้อขายสูงถึง 50.68% ของมูลค่ารวมรายวัน โดยมีถึง 14 วันทำการที่ต่างชาติซื้อสุทธิ จากวันทำการทั้งหมด 21 วัน
-ขณะที่ประเทศอื่นยังถูกขาย

หากเทียบกับประเทศคู่เทียบในเดือนเเดียวกัน เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ปรับขึ้นเพียง 5%–8% แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพทางการเมืองและแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังรัฐบาลไทยบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชา และความหวังการเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ

-มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันของ SET และ mai อยู่ที่ 42,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนความคึกคักของตลาดทุนไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องสูงและแรงซื้อจากต่างชาติเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก แม้ว่าสุทธิแล้วต่างชาติยังมียอดสะสมของการขายสุทธิอยู่กว่า 6 หมื่นล้านบาท

-Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้น ก.ค. 2568 อยู่ที่ระดับ 13.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.8 เท่า

-อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 3.95% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.17%

4 กลุ่มให้กำไรเหนือ SET

สำหรับ 4 กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า SET Index และ SET50 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 จากแนวโน้มภาษีใหม่และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ได้แก่
-กลุ่มเทคโนโลยี ผลตอบแทนเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 24.2%
-กลุ่มสถาบันการเงิน ผลตอบแทน 6.8%
-กลุ่มทรัพยากร ผลตอบแทนเดือน เพิ่มขึ้น15.2%
-กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 10.0%

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 19.8%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 355,290 สัญญา ลดลง 19.8% จากเดือนก่อนหน้า ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่
425,984 สัญญา ลดลง 11.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการลดลงของ Single Stock
Futures และ Gold Online Futures