กกร. เพิ่มเป้า GDP ปีนี้โต 1.8-2.2% ส่งออกเพิ่ม 2-3%ภาษี 19% หนุนแข่งขัน

HoonSmart.com>>กกร. ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปีนี้โต 1.8-2.2% จากเดิมคาด 1.5-2.0% ส่งออกดีขึ้นเป็น 2-3% จากเดิมติดลบ 0.5 ถึง 0.3% ความสำเร็จเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% สินค้าไทยไม่เสียเปรียบเพื่อนบ้าน ยอมรับเศรษฐกิจและส่งออกครึ่งปีหลังชะลอ  แนะไทยปรับตัว สร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ห่วงสวมสิทธิ์ สินค้าไทยเสี่ยงโดนเหวี่ยงแห่ชาร์จภาษี 40% พรุ่งนี้บอร์ด BOI เคาะมาตรการช่วยเหลือธุรกิจกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 2568 มาอยู่ที่ 1.8-2.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.5-2.0% และปรับเพิ่มเป้าส่งออกเป็น 2-3% จากเดิม -0.5 ถึง 0.3% จากความสำเร็จในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้สินค้าจากไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (Reciprocal tariffs) ในอัตรา 19% ลดลงจากที่สหรัฐฯ เคยประกาศไว้ที่ 36% ทำให้ไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจครึ่งหลังปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัว การส่งออกอาจแผ่วลง หลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.2568 รวมถึงจะมีการแข่งขันด้านราคาที่มากขึ้น ภาวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ และกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลงจากปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวชะลอตัวลงและผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา

“เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้าย และต้นปีหน้าอาจะมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออก ที่จะได้รับผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้นจากภาษีสหรัฐฯ และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งที่สูงขึ้น”นายผยงกล่าว

ที่ประชุม กกร. เห็นว่า ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือทั้งในระยะสั้น การแข่งขันด้านราคาจะเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกและสินค้าที่ขายในประเทศที่จะแข่งขันกับสินค้าที่ไทยเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบกลุ่มที่มีมาร์จิ้นต่ำ และต้องเร่งสำรวจการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงภาษี transshipment รวมถึงบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง พิธีการศุลกากร และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่ขายในประเทศ และการเปลี่ยนผ่านในระยะข้างหน้า ในระยะสั้น

“ไทยควรใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SME ทั้งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ ยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศ เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับทักษะแรงงานของไทยในประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจที่แท้จริง” นายผยง ระบุ

นอกจากนี้กกร. เห็นว่าไทยยังขาดข้อมูลสำคัญด้านโครงสร้างการผลิตรายอุตสาหกรรม เช่น การใช้วัตถุดิบขั้นต้นและขั้นกลางในประเทศ รวมถึง Regional Value Content (RVC) ซึ่งภาคเอกชนได้เริ่มสำรวจและเก็บข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ และหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อการตัดสินใจและเจรจาภายใต้การค้าโลกรูปแบบใหม่บทบาทของไทยในอาเซียนสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก

ทางด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังไม่จบ จะต้องมีการเจรจาในรายละเอียดของสินค้าแต่ละตัว ไม่ควรคิดรวมแบบเหมาเข่ง โดยเฉพาะ เรื่องการสวมสิทธิ์ อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมยาอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้าง และหากไม่มีความชัดเจนก็จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 40%

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ในวันพรุ่งนี้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจะมีการพิจารณาว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไร  ท้ายที่สุดแล้วคิดว่าภาระภาษีที่เกิดขึ้นจะถูกผลักไปให้ผู้บริโภค