“MUFG” ย้ำ”กรุงศรี”ทำกำไร 50% ของเอเชีย เดินหน้ากลยุทธ์”ไม่ถอนทุนแต่ร่วมเปลี่ยนโลก”

HoonSmart.com>>ประธานธนาคารมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ญี่ปุ่น ย้ำไทยยังมีเสน่ห์ดึงเงินลงทุน แม้เศรษฐกิจชะลอ ชี้กำไร 60% มาจากนอกญี่ปุ่น เอเชียทำเงิน 45% ครึ่งหนึ่งของเอเชียมาจากกรุงศรี เดินหน้ากลยุทธ์ “ไม่ถอนทุนแต่ร่วมเปลี่ยนผ่าน” หนุนเศรษฐกิจสีเขียว พร้อมชี้ไทยมีโอกาสโต หากปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมสู่เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

นายคาเนทสุกุ มิเกะ ประธานกรรมการ ธนาคารมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์ระหว่างมาร่วมงานสัมมนา Krungsri-MUFG Business Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “Thriving to Sustainable Future”ว่า ประเทศไทยและเอเชียยังคงเป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในการเติบโตของ MUFG ด้วยจำนวนประชากร และความต้องการบริการทางการเงินที่เพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากกำไร 60% มาจากนอกญี่ปุ่น ใน 60% นี้มาจากเอเชีย 45% และครึ่งหนึ่งของ 45% มาจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) หรือ กรุงศรี นั่นหมายความว่ามาจากประเทศไทย

 

ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางของ MUFG ปีงบประมาณ 2567-2569 การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนการเติบโต

สำหรับ ประเทศไทยยังคงมีเสน่ห์ในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ เพราะมีอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลาย ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งและความได้เปรียบของไทย แม้ในระยะสั้นจะมีความท้าทายเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจที่ออกจะดูแย่ แต่หากสามารถพัฒนากระบวนการผลิตไปสู่เทคโนโลยีที่สูงขึ้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ จะทำให้ไทยไปต่อได้

ขณะที่ อัตราภาษีการค้าที่สหรัฐฯเก็บจากไทยที่ 19% ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งนักลงทุนไม่ได้กังวลเรื่องภาษีการค้า แต่ให้ความสนใจนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมของรัฐบาล และโครงสร้างพื้นฐานของไทยเป็นหลัก

ในด้านความท้าทายเชิงโครงสร้างของไทย ทั้งปัญหาประชากรสูงวัย หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง การเปลี่ยนผ่านการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transformation)และการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ (Digital Transformation)

นายมิเกะ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน เรื่องการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transformation)ได้กำหนดกลยุทธ์หลัก 2 ด้าน

1.“ไม่ถอนการลงทุน แต่เน้นการมีส่วนร่วม” หมายความว่า หากสถาบันการเงินต้องการทำให้สินทรัพย์ทางการเงินของตนปลอดจากการปล่อยก๊าซ CO2 วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายหรือถอนการลงทุนจากสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเหล่านั้น แต่การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่สถาบันการเงินที่มีความรับผิดชอบควรทำ เพราะหากเราขายสินทรัพย์เหล่านั้นออกไป ก็จะมีผู้อื่นเข้ามาถือครองแทน และเศรษฐกิจจริงก็จะไม่สามารถลดคาร์บอนได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ สถาบันการเงินที่มีความรับผิดชอบจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับอุตสาหกรรมหรือบริษัทที่มีการปล่อยก๊าซสูง เพื่อหารือถึงแนวทางในการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินงานที่ปลอดคาร์บอน พร้อมทั้งให้การสนับสนุนทางการเงินที่จำเป็น ซึ่งเราเรียกการสนับสนุนนี้ว่า “เงินทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่าน” (Transition Finance)

2.“ด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดโลกร้อน แนวทางการจัดการที่แตกต่างสำหรับแต่ละประเทศหรือภูมิภาค” – หมายความว่า ความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศและข้อจำกัดในการลดคาร์บอนนั้นมีลักษณะเฉพาะในแต่ละพื้นที่ เช่น นอร์เวย์สามารถผลิตพลังงานได้ถึง 95% จากไฮโดรเจน เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ประเทศไทยไม่มีทรัพยากรในระดับนั้น จึงต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานอื่น

ในอดีต ประเทศในเอเชียใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งยุโรปจะบอกให้ทางเอเชียควรเลิกใช้โรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะปล่อยก๊าซ CO2 ในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าถ่านหินในยุโรปมีอายุการใช้งานมากกว่า 40 ปี และถูกตัดค่าเสื่อมราคาไปแล้ว จึงสามารถเลิกใช้ได้ง่าย แต่ในประเทศเอเชีย โรงไฟฟ้าเหล่านี้ยังมีอายุเพียง 11–12 ปี ซึ่งถือว่ายังใหม่มาก การเลิกใช้โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะต้องมีผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย แต่ไม่มีใครพร้อมจะจ่ายให้เรา

ดังนั้น จึงต้องอยู่กับโรงไฟฟ้าถ่านหินเหล่านั้น และในขณะเดียวกันก็ต้องจัดหาพลังงานเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น

“สรุปแล้ว สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ กลยุทธ์หลักสองประการ ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว และการดำเนินงานตามหลักการสำคัญสองข้อ คือ “ไม่ถอนการลงทุน แต่เน้นการมีส่วนร่วม” และ “ใช้แนวทางที่แตกต่างสำหรับแต่ละภูมิภาค” เนื่องจากความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศมีลักษณะเฉพาะในแต่ละพื้นที่”นายมิเกะ กล่าว

นายมิเกะ กล่าวว่า สำหรับด้านการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ (Digital Transformation) ธุรกิจกำลังพูดถึงการเข้าสู่ยุคของเจนเนอเรทีพเอไอ ที่มีความต้องการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center)จำเป็นต้องการเงินลงทุนในระยะยาว ซึ่ง MUFG เป็นอันดับหนึ่งในการให้บริการสินเชื่อโครงการ หรือ Project finance ในระดับโลก และมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ

“ในไทยเราเห็นว่ากำลังพัฒนาด้านนี้อย่างมาก เพราะคนไทยหลายคนยังเข้าไม่ถึงระบบการเงิน ไม่มีบัญชีธนาคาร และไม่มีแอพโมบายแบงก์กิ้ง เป็นโอกาสในการขยายตลาดในไทย”นายมิเกะ กล่าว

นายมิเกะ กล่าวว่า นอกจากนี้จากการที่มีเรื่องของกำแพงภาษีเข้ามา ทำให้อุตสาหกรรมไทยต้องมีการทำการปรับโครงสร้างธุรกิจ มีโอกาสที่จะเกิดการควบรวมกิจการ หรือ ซื้อขายกิจการ ซึ่งทาง MUFG ทำธุรกิจอยู่ทั่วโลก และทำงานใกล้ชิดกับบริษัทมอร์แกน สแตนลีย์ ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านวาณิชธนกิจ ในการให้คำแนะนำด้านการปฏิรูป ปรับปรุงกิจการ และปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ แก่ภาคธุรกิจและอุตสหากรรม
รวมถึง MUFG และ มอร์แกน สแตนลีย์ มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก สามารถที่จะจับคู่ธุรกิจกับลูกค้าไทยได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ และมีพันธมิตรทางธุรกิจใหม่

นายมิเกะ กล่าวแสดงความยินดีกับกรุงศรี ในโอกาสครบรอบ 80 ปี ในปี 2568 นี้ ได้ให้บริการลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของกรุงศรีต่อการเสริมสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง

“ขอย้ำว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญของ MUFG และตลอดระยะเวลาที่ร่วมมือกับกรุงศรีกว่า 12 ปี ได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเสมือนคนในครอบครัว และจะยังคงยืนหยัดร่วมกันในการผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ คู่ค้า สังคมไทย และภูมิภาคเอเชียด้วย”นายมิเกะ กล่าว