HoonSmart.com>>”ธนาคารไทยเครดิต”(CREDIT) ลุยหนัก ตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้โต 10-15% จากครึ่งปีทำได้สูงสุดในระบบธนาคารที่ 5.2% ลุ้นส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ถึง 8% คุมหนี้เสียต่ำกว่า 4.5% ROE กว่า 15.5% มองเห็นโอกาสทะยานไปข้างหน้าจากตลาดสินเชื่อธุรกิจ SME- พ่อค้าแม่ค้าใหญ่มาก ชูกลยุทธ์ช่วยเหลือลูกค้าทันที เพื่อให้รอดและเติบโต นำดิจิทัลขยายธุรกิจ เพิ่มลูกค้ารายใหม่ โอดนักลงทุนให้ราคาหุ้น CREDIT ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานในปี 2568 ยังคงเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายสินเชื่อไว้ที่ 10-15% จากครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 5.2% มียอดคงค้างอยู่ที่ 1.74 แสนล้านบาท ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ดีขึ้นเป็น 7.5-8.0% จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.4% ควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ( NPLs) ให้อยู่ต่ำกว่า 4.5% จากกลางปีอยู่ที่ 4.3% บนต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ (Credit Cost) ระดับ 2.0-2.7% จากครึ่งปีอยู่ที่ 2.08% สนับสนุนอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 15.5-20% จากกลางปีอยู่ที่ 15.5% ดีขึ้นเทียบกับครึ่งแรกของปี 2567 ที่ระดับ 13.3%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวอย่างมั่นใจในเป้าหมายปี 2568 ที่ตั้งไว้ หลังจากเห็นผลงานครึ่งปีแรก โดยหลายด้านเติบโตสูงที่สุดในอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ เช่น สินเชื่อโตถึง 5.2% จากสิ้นปีก่อน ตามด้วย LHFG เติบโต 3.2%และธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพิ่มขึ้น 0.7% ธนาคารหลายแห่งสินเชื่อหดตัว ทำให้ภาพรวมโตติดลบ 0.4% NPLs ก็ยังลดลงจากระดับ 4.5%มาอยู่ที่ 4.3% หากเทียบหนี้เสียกลุ่มเอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมสูงถึง 7% ด้วยการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพสินทรัพย์ แม้ว่าในปีนี้ไม่ได้ขายพอร์ตหนี้เสียออกไป จากปี 2567 ขายไปเกือบ 3,000 ล้านบาทก็ตาม
ส่วน NIM ของระบบแบงก์เฉลี่ยอยู่ที่ 3.9%ไทยเครดิตทำได้ 7.4% แม้ว่าจะลดลงจากครึ่งแรกของปี 2567 ที่ระดับ 8.3% ซึ่งปรับตัวลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายและผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้าในการปรับลดดอกเบี้ยให้ในช่วง 3 ปี รวมถึงโครงการ”คุณสู้ เราช่วย”
“เราแข็งแกร่งขึ้นมาก ครึ่งปีนี้กำไรสุทธิพุ่งขึ้น 44% เป็น 1,828 ล้านบาท สินเชื่อโตถึง 5.2% สวนทางภาวะเศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือนสูง ROE ก็สูงแตะ 15.5% แต่นักลงทุนกลับให้ราคาหุ้น CREDIT ต่ำกว่ามูลค่า เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรต่อหุ้น (P/E) เพียง 5.1 เท่า ต่ำกว่าเฉลี่ยของธนาคารที่ 7.5 เท่า เฉลี่ยกลุ่มการเงิน 18.1 เท่า และภาพรวมดัชนี SET ที่ 17.2 เท่า หากเทียบกับมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV ) เทรดเพียง 0.87 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มการเงินเฉลี่ย 1.10 เท่า ตลาดหุ้นรวม 1.18 เท่า แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มแบงก์ที่ 0.65 เท่า”
สำหรับไทยเครดิตยอมรับว่าเป็นธนาคารใหม่ ที่มีขนาดเล็ก แต่เติบโตสูงมาก โดยยังคงเร่งขยายสินเชื่อเพื่อธุรกิจไมโคร ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีขนาดกลาง วงเงิน 10 ล้านบาทลงมา เพราะมีสัดส่วน 70% ของพอร์ตสินเชื่อ ขณะที่มีมูลค่าตลาดใหญ่มากกว่า 1.7 แสนล้านบาท และจะโตมากขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า ส่วนสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิต ปล่อยให้พ่อค้าและแม่ค้าในตลาดที่เข้าไม่ถึงระบบการเงิน ก็มีความต้องการใช้เงินสูงเช่นเดียวกัน ส่วนสินเชื่อบุคคล ยังมีโอกาส จากกลางปีนี้โตมากถึง 66.6% เพราะฐานเดิมไม่สูง และสินเชื่อที่ใช้บ้านเป็นหลักประกันก็ดีขึ้น
ขณะเดียวกันธนาคารฯยังคงรักษาระดับการแข่งขันกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้ มีการนำดิจิทัลมารองรับการขยายธุรกิจและลูกค้ารายใหม่ และเร่งพัฒนาแฟลตพอร์ตให้บริการลูกค้าผ่าน “Micro Pay e-Wallet” ที่มีพ่อค้าแม่ค้าใช้กว่า 6.5 แสนคน เติบโต 15-20% ปริมาณธุรกรรมโตต่อเนื่อง และ “Alpha By Thai Credit” ช่วยหาลูกค้าเงินฝาก โดยไม่ต้องไปสาขา ซึ่งมีผู้ใช้แล้วกว่า 5.6 หมื่นราย ธุรกรรมกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่า 64%
อย่างไรก็ตาม ธนาคารไทยเครดิตเคยผ่านประสบการณ์หนี้เสียมากในช่วงโควิด มีการตั้งสำรองสูง จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อและยังมีปัจจัยความท้าทายค่อนข้างมาก จึงวางกลยุทธ์ช่วยเหลือลูกค้าให้ทันเวลา เพื่อให้รอดและเติบโตไปพร้อมกับธนาคาร ส่วนปัญหาที่พบในปัจจุบัน ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่แยกกระเป๋าในการใช้บัญชีส่วนตัวกับธุรกิจ ทำให้ไม่ทราบเรื่องกำไรขาดทุน ทางธนาคารไทยเครดิตได้เข้าไปช่วยสอนและบริหารเงิน เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มคุณภาพลูกค้าและสินเชื่อของธนาคารในระยะยาว
