THAI เทคออฟตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง 4 ส.ค. ห้ามชอร์ตเซล โบรกเชียร์ซื้อ เป้า 5.5-10.8 บาท

HoonSmart.com>>”การบินไทย” (THAI) พร้อมกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 4 ส.ค. 68 ไม่มีราคาซิลลิ่ง-ฟลอร์ ตลท.”ห้ามชอร์ตเซล”วันแรก “อัสสเดช”มองสร้างสีสรรตลาดหุ้นไทย กลับมารอบนี้แข็งแกร่ง มีกำไร หนี้ลดลง นักวิเคราะห์ 7 ราย เชียร์ซื้อ ชูหุ้นครบเครื่อง กำไรงาม กระแสเงินสดแกร่ง หนี้ลดลง มีอัพไซด์จากเงินปันผล ให้เป้าหมาย 5.50-10.80 บาท หลังบริษัทขายหุ้นเพิ่มทุนราคา 4.48 บาท พาร์ใหม่ 1.30 บาท

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้ต้อนรับหุ้น THAI กลับเข้ามาซื้อขายในวันที่ 4 ส.ค.นี้ เท่าที่ติดตามผลประกอบการ มีความน่าสนใจจากการปรับปรุงบริษัทครั้งใหญ่ ในรอบนี้ บริษัทมีกำไร และหนี้สินลดลง ไม่ขาดทุนเหมือนก่อนหน้านี้ การกลับเข้ามาของหุ้น THAI จะทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจมากขึ้น

ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ายังคงหยุดพักการซื้อขาย THAI Futures ต่อไป เนื่องจากหลักทรัพย์ THAI มีการหยุดพักการซื้อขายเป็นระยะเวลานาน ทำให้ไม่สามารถประเมินความผันผวนของราคาและสภาพคล่องในการซื้อขาย ส่งผลต่อความสามารถในการใช้หลักทรัพย์ THAI เป็นสินค้าอ้างอิงของ Single Stock Futures จึงยังไม่กำหนดให้หลักทรัพย์ THAI เป็นหลักทรัพย์ที่สามารถขาย  ชอร์ตได้

ปัจจุบันนักวิเคราะห์ 7 ราย กลับมาวิเคราะห์หุ้นการบินไทย ต่างแนะนำให้”ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายปีนี้และปีหน้าแตกต่างกัน อยู่ในช่วง 5.50-10.80 บาท โดยบล.บัวหลวงให้ต่ำสุด ขณะที่บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (CGSI) ตีมูลค่าสูงสุดถึง 10.80 บาท หลังจากบริษัทขายหุ้นเพิ่มทุนที่ราคา 4.48 บาท และปรับลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จาก 10 บาท เหลือ 1.30 บาท

บล.บัวหลวง มองบริษัทการบินไทยมีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีกำไรหลักพลิกจากขาดทุนหลักจำนวน 16,100 ล้านบาทในปี 2562

“คาดว่ากำไรหลักของปี 2568 จะอยู่ที่ 18,000-25,000 ล้านบาท ราคาเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 3.20-7.90 บาท กรณีเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม โดยมี 2 สมมติฐาน กรณี base case กำไรหลักอยู่ที่ 21,500 หมื่นล้านบาท และกรณีกำไรหลักต่ำกว่า กรณี base case 10% ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปีนี้ที่ 5.50-6.80 บาท”บล.บัวหลวงระบุ

ด้านบล.หยวนต้า(ประเทศไทย) เริ่มต้นคำแนะนำ”ซื้อ”หุ้น THAI ประเมินราคาเหมาะสมสิ้นปี 2569 ที่ 10.70 บาท อิง EV/EBITDA ที่ 7 เท่า อ้างอิงจากค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการสายการบินในภูมิภาค คาดกำไรปกติปี 2568-2570 ที่ 28,000 ล้านบาท เติบโต 27% ,30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และ 31,000 ล้านบาท เติบโต 4% จากปีก่อน  คิดเป็นเติบโต 11% CAGR หนุนจากการขยายฝูงบินเชิงรุก เพื่อเพิ่มความแข่งขันในตลาดสายการบิน Full Service,การบริหารต้นทุนการดำเนินงานที่ดีขึ้นและแนวโน้มต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลงเช่นเดียวกับภาระทางการเงินที่ลดลงต่อเนื่องจากการทยอยชำระหนี้คืนตามแผนฟื้นฟูกิจการ

THAI เตรียมตัว Take-Off อีกครั้งในปี 2567 มีรายได้ 1.87 แสนล้านบาท เติบโต 19% ดีกว่าระดับก่อนโควิด 19 แม้ยอดผู้โดยสารจำนวน 16 ล้านคน ฟื้นตัวเพียง 66% รายได้ดีขึ้นจากรายได้ผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (Passenger Yield) และจำนวนชั่วโมงบินที่เพิ่มขึ้นฐานะทางการเงินแข็งแกร่งกว่าเดิม

การบินไทย ปรับโครงสร้างทุนและทยอยจ่ายหนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นเมื่อรวมเงินสดและรายการเทียบเท่าถือเป็น Net Cash Company ประเมิน THAI จะได้ประโยชน์จากดีมานด์การเดินทางที่เพิ่มขึ้นตามภาพอุตสาหกรรมและจากแผนการเป็น Aviation Hub ของภาครัฐ การขยายเครือข่ายการบินจะหนุนให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและรองรับการขยายฝูงบิน

“THAI ปรับโครงสร้างหนี้กว่า 4 แสนล้านบาท เหลือ 9.5 หมื่นล้านบาท  (ณ สิ้นไตรมาส 1/68)อีกทั้งส่วนของผู้ถือหุ้นพลิกกลับมาเป็นบวก 5.5 หมื่นล้านบาท ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นเป็นNet Cash Company ด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่ากว่า 1.25 แสนล้านบาท เพียงพอสำหรับการลงทุนในระยะ 3 ปี โดยไม่ต้องก่อหนี้เพิ่ม หลังจากการพ้นจากสถานะรัฐวิสาหกิจ เกิดความคล่องตัวในการบริหาร รวมถึงการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานบริษัทได้พิสูจน์ความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับลดขนาดองค์กรและค่าตอบแทน ทำให้ค่าใช้จ่ายพนักงาน (Employee & Crew Expenses) ในปัจจุบันคิดเป็น 9.7% ของรายได้ ต่ำกว่าในอดีตที่ 23% อย่างมีนัยสำคัญ รวมกับแผนการปรับฝูงบินและเส้นทางบินให้สอดคล้องกับความต้องการ หนุน EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบิน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 42,000 ล้านบาท”บล.หยวนต้าระบุ

บล.กรุงศรีอยุธยาให้ราคาเป้าหมาย 7.65 บาท หลังฟื้นฟูกิจการทำให้ THAI มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินสำคัญ ได้แก่ (1) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 30-40% (เทียบก่อนฟื้นฟู 20%) (2) ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง 40% เหลือราว 20,000 ล้านบาท/ปี (3) EBITDA เพิ่มเป็น 5-6 หมื่นล้านบาท/ปี (ก่อนฟื้นฟู 1-2 หมื่นล้านบาท/ปี) (4) หนี้ที่มีดอกเบี้ยลดลงเหลือ 1.2 แสนล้านบาท (ก่อนฟื้นฟู 2.3 แสนล้านบาท) และ (5) ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 5.5 หมื่นล้านบาท (ก่อนฟื้นฟูติดลบ)

บริษัทการบินไทยปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เช่น การลดจำนวนพนักงานจาก 3.6 หมื่นคนในปี  2562 เหลือ 2.3 หมื่นคนในไตรมาสแรกปี 2568  การปรับโครงสร้างผลตอบแทนและการเพิ่มทักษะในการทำงานให้พนักงาน การควบรวมสายการบิน Thai Smile และการลดขั้นตอนการทำงาน เป็นต้น ทำให้ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลงมากกว่า 40% เหลือราว 2 หมื่นล้านบาท/ปี

” กลยุทธ์การปรับฝูงบิน ลดจำนวนเครื่องบินที่ไม่มีศักยภาพ ลดประเภทเครื่องบิน และเครื่องยนต์ลง เพื่อให้การบริหารต้นทุนค่าซ่อมแซม และนักบิน มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  นอกจากนี้ยังลดต้นทุนค่าเสื่อมราคาลงจากเกือบ 2 หมื่นล้านบาท/ปี เหลือ 1.2 หมื่นล้านบาท/ปี ส่วนการปรับโครงสร้างทุน  ทั้งเพิ่มทุนและลดพาร์เหลือ 1.30 บาท เพื่อล้างผลขาดทุนสะสม ทำให้สิ้นไตรมาสแรก มีกำไรสะสม  9,633 ล้านบาท  คาดว่าในปีนี้จะมีกำไรปกติ  2.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% มีความพร้อมในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น คาดปีนี้หุ้นละ 0.23 บาทและ 0.20 บาทในปีหน้า”

บล.เมย์แบงก์ ให้ราคาเป้าหมาย 10 บาท โดยอิงจาก P/E เป้าหมายที่10.5 เท่า(เทียบเท่าอุตสาหกรรมสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) จากกระแสเงินสดแข็งแกร่งและมีอัพไซด์จากเงินปันผล  หุ้นการบินไทย ครบทุกองค์ประกอบที่นักลงทุนมองหา

“เราเชื่อว่าสถานะทางธุรกิจฐานะการเงินและผลประกอบการ ทำให้เป็นหุ้นสายการบินที่น่าลงทุน ประกอบด้วยอัตราส่วน P/E ที่ต่ำ 3.5 เท่า  อัตราผลตอบแทนจากกระแสเงินสดอิสระ(FCF yield) สูงถึง 9% งบดุลที่แข็งแกร่ง (อัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนที่-0.02 เท่า) อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน(ROIC) ที่สูงถึง19% และทีมผู้บริหารที่มีความสามารถซึ่งสามารถพาบริษัทผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้อย่างดี” บล.เมย์แบงก์ระบุ