HoonSmart.com>>ตลท. ดัน 3 ยุทธศาสตร์ ยกระดับระบบนิเวศ ESG ในตลาดทุน เพิ่มความโปร่งใส-ยั่งยืน รองรับการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจทุกอุตสาหกรรมสู่ Net Zero ตอบโจทย์ความคาดหวังของนักลงทุนทุกประเภทจากทั่วโลก

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดงาน SET Sustainability Forum 2/2025 ภายใต้หัวข้อ “Claims, Consequence, and Credibility: Capital Market For Climate Action” เป็นการผนึกพลังสร้างระบบนิเวศเอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำโดยย้ำว่าข้อมูลสภาพภูมิอากาศกำหนดผลลัพธ์ทางการเงินและความสามารถในด้านการแข่งขัน
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องการสื่อถึง เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศต้องพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูลคุณภาพและวัดผลได้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือสู่ผลลัพธ์ที่ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน
แนะภาคธุรกิจบางกฎเกณฑ์ใหม่เป็นโอกาสสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันใช้กลไกการเงิน การคลัง ประกันภัยและตลาดทุน ที่สนับสนุนเพื่อเร่งปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นว่าผู้เชี่ยววชาญระดับโลกและไทยยืนยันตรงกันว่าข้อมูลด้านความยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านที่น่าเชื่อถือเป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจ จัดสรรเงินทุนและการประเมินมูลค่าธุรกิจจริง
บ่มเพาะความน่าเชื่อถือ

ด้านนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไท (ตลท.) ได้กล่าวในหัวข้อ”Building the Credible Market:SET’s Roadmap” ภายใต้บริบทความท้าทายด้าน Climate Risk และกฎเกณฑ์ ESG ที่เข้มข้นขึ้น ตลท. ได้ขับเคลื่อน 3 แผนงานหลัก เพื่อยกระดับระบบนิเวศให้เอื้อต่อการปฏิบัติและเห็นผลจริง ประกอบด้วย
1. ESG Data Platform ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลสู่มาตรฐานสากล ด้วยการ ส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนให้รายงานข้อมูลสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างครบถ้วน สนับสนุนการประเมิน ESG Rating และการจัดทำรายงานตามเกณฑ์ ก.ล.ต. ปัจจุบันมี 122 ตัวชี้วัด ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ESG เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
2. ESG Incentive Framework ขับเคลื่อนการลงทุนที่ยั่งยืน ร่วมมือกับ EXIM Bank และธนาคารอื่น ๆ ในการออก Green Loan สนับสนุนการลดคาร์บอน ส่งเสริมการลงทุนผ่านกองทุน Thai ESG และ Thai ESGX ที่เน้นหุ้นไทย ESG ดีเด่น ทำให้ปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 60% จากบริษัทจดทะเบี้ยนทั้งหมด
3. ESG Academy คือการ ปั้นผู้เชี่ยวชาญด้าน ESG สู่ภาคธุรกิจไทย พัฒนาบุคลากร ESG ทั่วประเทศ โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ให้บริษัทจดทะเบียน ข้าราชการ และมหาวิทยาลัย เข้าเรียนคอร์ส ESG ออนไลน์ ปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมกว่า 300 คน
การมีธรรมาภิบาลที่ดีในการขับเคลื่อน ESG คือหัวใจในการหลีกเลี่ยงวิกฤติความน่าเชื่อถือ (Credibility Crisis) และป้องกันการฟอกเขียว (Greenwashing) หรือการอ้างเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและรักษ์โลกแก่บริษัท แต่อาจไม่ได้มีการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจริง เช่น ให้ข้อมูลเท็จหรือเกินจริงในรายงานด้านความยั่งยืนของบริษัทที่อาจกระทบความมั่นใจของผู้ลงทุนได้
ประเด็นเรื่อง “Greenwashing” ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยตลท.ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มข้น ควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจที่ชัดเจนให้บริษัทที่ดำเนินการด้าน ESG อย่างจริงจัง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยง Greenwashing และยังสร้างระบบตลาดทุนที่โปร่งใสและแข่งขันได้ในเวทีโลก
ทั้งนี้ ตลท.มีการติดตามข้อมูล ESG ของบริษัทอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการรายงานที่เกินความจริง มีการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน เช่น การให้สินเชื่อพิเศษกับบริษัทที่ดำเนิน ESG อย่างแท้จริง นักลงทุนมีบทบาทสำคัญในการเลือกลงทุนกับบริษัทที่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และมีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งสู่ Net Zero

ขณะที่ ดร. ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และกรรมการอิสระ กรรมการบริหาร และกรรมการเทคโนโลยี บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “Proof Your Climate Pledges as Grounded Governance” ย้ำเป้าหมาย Net Zero จะไม่สามารถบรรลุได้หากไม่มี “ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง” (Grounded Governance) ซึ่งคณะกรรมการต้องเข้ามากำกับดูแลและผลักดันวาระด้านสภาพภูมิอากาศให้ผนวกกับกลยุทธ์หลัก นำไปสู่การปฏิบัติจริงทั้งองค์กร
การประกาศเป้าหมายโดยปราศจากกลไกกำกับดูแลที่เข้มแข็งจะถูกมองว่าเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านการฟอกเขียว (Greenwashing) ที่ลดทอนความเชื่อมั่นในที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอข้อมูลการปล่อย CO₂ จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกในปี 2566 แตะระดับสูงสุดที่ 36.8 พันล้านตันต่อปี จากรายงานการปล่อยคาร์บอนในปี 2565 ประเทศที่ปล่อยก๊าซมากที่สุดยังคงเป็นจีน 11,396.8 ล้านตัน ตามด้วยสหรัฐอเมริกา 5,057.3 ล้านตัน อินเดีย 2,829.6 ล้านตัน แต่จีนมีประชากร 1,500 ล้านคน ส่วนสหรัฐอเมริกามีประชากร 300 ล้านคน สรุปคือ สหรัฐฯมีการปล่อยคาร์บอนต่อหัวสูงที่สุดในโลก ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น
นอกจากนี้ ยังพบว่า ประเทศที่มีระดับ GDP สูง มักมีการใช้พลังงานต่อหัวในระดับสูงตามไปด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างอินเดียและแอฟริกาที่มีการใช้พลังงานต่ำ การเติบโตของ GDP ก็ต่ำ
ประเทศที่ต้องการยกระดับเศรษฐกิจควรลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่เพิ่มภาระต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไม่จำเป็น
ดร. ไพรินทร์ ระบุว่า การประชุมระดับเวทีโลก อย่าง COP28 มีการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงการตั้งเป้าหมาย Net Zero ของแต่ละประเทศ คือเครื่องมือหลักที่ใช้ต่อสู้กับภาวะโลกร้อน หากแต่ต้องควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค และการสร้างแรงจูงใจแก่ภาคธุรกิจที่ดำเนิน ESG อย่างแท้จริง พร้อมกับเริ่มพิจารณามาตรการ “Phase Out Fossil Fuel” อย่างจริงจัง ซึ่งสะท้อนทิศทางใหม่ของโลกที่เตรียมเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำที่สุดกำลังเข้ามาแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน สะท้อนชัดว่าความต้องการฟอสซิลกำลังหมดอายุ ประเทศไทยก็มาในแนวทางนี้เช่นกัน
พฤติกรรมมนุษย์และนโยบายระดับโลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่กานใช้พลังงานสะอาด แม้ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ อย่างสหรัฐฯ และกลุ่มโอเปก ยังคงเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลง แต่แนวโน้มจะลดลงเรื่อยๆ
การพิจารณาเชิงนโยบายทั้งระดับโลกและระดับประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดจุดเปลี่ยนของระบบพลังงาน และประเทศไทยเองก็จับจังหวะนี้ในการเปลี่ยนผ่านเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ล่าสุดรัฐบาลมีนโยบายที่จะให้คนที่ติดโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 แสนบาท
“ในเรื่องของการลดโลกร้อน อย่าไปสนใจรัฐบาลมากที่อาจจะมีการเปลี่ยนนโยบาย เพราะผลของมัน สิ่งที่ปรากฏ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เราเห็นและสัมผัสได้ ให้เราเดินหน้าทำต่อไป”ดร.ไพรินทร์ กล่าว
