ตลาดทุนไทยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เสถียรภาพยังมี..แต่จะไปยังไงต่อ!

HoonSmart.com>>ทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 10 ปีต่อเนื่อง ROE ร่วงต่ำสุดรอบ 20 ปี ราคาเข้าขั้นถูกสุดในอาเซียน แต่ไม่โตเงินยังไม้เข้า SET เร่งยกเครื่องตลาดทุน เข้มคัดบจ.เข้า JUMP+ ปรับกฎหมายดึงธุรกิจยุคใหม่ หวังเปลี่ยนจาก Value Trap สู่ยุค ESG – New Economy เพิ่มโอกาส-การเติบโตที่มีอนาคตให้นักลงทุนไทย-นักลงทุนทั่วโลก

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กางแผนปฏิรูปเชิงรุกกลางเวทีอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.รุ่น 19) ปี 2568 โดยชี้ว่าแม้เศรษฐกิจไทย ตลาดทุนไทย ยังมีเสถียรภาพแต่ศักยภาพในการเติบโตและความน่าสนใจของ เศรษฐกิจและตลาดทุนไทยกำลังถูกตั้งคำถามจากนักลงทุนทั่วโลก

ปัจจุบัน ประเทศไทย ยังรักษาพื้นฐานเศรษฐกิจมหภาคได้อย่างแข็งแกร่ง เช่น ทุนสำรอง 280,000 ล้านดอลลาร์ หนี้สาธารณะต่อ GDP ยังต่ำกว่าเพดาน และภาคธนาคารมีเงินกองทุนสูงเกินเกณฑ์ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหุ้นถูกแต่แรงซื้อยังไม่กลับ!

บริษัทจดทะเบียนไทยส่วนใหญ่พึ่งพากำลังซื้อในประเทศมากเกินไป เมื่อเศรษฐกิจโตช้า รายได้ประชาชนไม่ขยับ การบริโภคชะลอ ความสามารถในการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนก็ติดเพดานทันที ซึ่งเห็นได้จากตัวเลข ROE ที่ร่วงจาก 18.4% ในอดีต เหลือเพียง 6.8% ในไตรมาสแรกปี 2568

พร้อมกับยอมรับความจริงว่า แม้หุ้นไทยจะมี P/E ต่ำ และ Dividend Yield สูงสุดในอาเซียน แต่กลับไร้แรงซื้อ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ตลาด IPO ไทยเสียตำแหน่งผู้นำให้เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย

ขณะที่กว่า 60% ของหุ้นไทยมี P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า แสดงถึงการประเมินมูลค่าต่ำอย่างมีนัย
สาเหตุหลักไม่ใช่แค่ปัจจัยภายนอก แต่คือความไม่แน่นอนในอนาคตของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ยังไม่สามารถแสดงให้เห็นศักยภาพในการเติบโตเชิงโครงสร้างได้ชัดเจน

ซื้อหุ้นคืนแล้วเงินก็ยังเหลือแต่ไม่ลงทุนใหม่

ด้านการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนจากของผู้ถือ หุ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี โดยในครึ่งปีแรกของ 2568 สูงถึง 22,870 ล้านบาท อาทิ PTT, TU และ TTB เป็นผู้นำ ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริหารมองว่าราคาหุ้นต่ำเกินจริง
แต่ก็มีคำถามที่ต้องตอบอีกว่า “ทำไมถึงไม่เอาเงินไปลงทุนต่อยอดธุรกิจ?” เป็นเพราะไม่มีโปรเจกต์ใหม่ หรือโอกาสการเติบโตในประเทศน้อยลง

หลายบริษัทไม่ได้มีการซื้อหุ้นคืนแต่ก็มีการจ่ายเงินปันผลออกมามากกว่าทุกๆปี ก็เป็นการสะท้อนว่าบริษัทมีสภาพคล่องในบริษัทมากและไม่มีแผนที่จะไปลงทุนอะไรก็เลยนำมาคืนให้กับผู้ถือหุ้น

ทางตลาดหลักทรัพย์ฯมีการเข้าไปวิเคราะห์ดูบริษัทที่มีการซื้อหุ้นคืนว่าใช้เงินมาซื้อหุ้นคืนแล้ว ยังมีสภาพคล่องเหลืออยู่ในบริษัทไหม หลายบริษัทก็ยังมีสภาพคล่องเหลืออยู่อีกแต่ก็ยังไม่มีการลงทุน

ภาษี 36% ซ้ำเติมเชื่อมั่น

แรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้น เมื่อสหรัฐฯ เตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตรา 36% เริ่ม 1 สิงหาคมนี้ มีผลทางจิตวิทยาที่สร้างความไม่มั่นใจสูงมาก แม้ผลกระทบทางเศรษฐกิจยังประเมินไม่ได้ และมีคำถามว่าจะสามารถรักษาระดับทุนสำรองให้แข็งแกร่งได้อีกนานแค่ไหน
หวังว่า การเจรจาไทย-สหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงที่ดีต่อไทย ไม่ถึงขั้นต้องเสีย 36% มิฉะนั้นการส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบในระยะยาว

JUMP+ ตอบคำถามหุ้นไทยจะไปไงต่อ

นายอัสสเดช กล่าวว่า เพื่อตอบโจทย์คำถามใหญ่ของนักลงทุนต่างชาติ ที่สงสัยว่าหุ้นไทยจะโตไปทางไหน? หรือจะไปยังไงต่อ? ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดตัวโครงการ JUMP+ ที่สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนวางแผนเพิ่มมูลค่าในระยะ 3 ปี ทั้งด้านผลประกอบการ ธรรมาภิบาล และการจัดการ ESG

เป็นการสร้างโอกาสให้กับบริษัทจดทะเบียนไทย ในการปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าธุรกิจ

โครงการนี้ไม่ได้ให้แค่คำแนะนำ แต่มีสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น ส่วนลดค่าธรรมเนียม รางวัลจาก SET Awards รวมถึงช่วยให้บริษัทเข้าถึงนักลงทุนได้ง่ายขึ้นผ่าน Opp Day, Roadshow และรายงานวิจัย
“JUMP+ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนตลาดทุนไทยจาก Value Trap สู่ Value Creation

ถึงวันนี้มีผู้แสดงความสนใจเข้ามาแล้ว 40 บริษัทฯ แต่ต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเข้ามาแล้ว ต้องทำได้จริง เติบโตจริง เพราะเป็นภาพลักษณ์ของตลาดทุนไทยที่สื่อถึงสายตานักลงทุนทั่วโลก

DR ยืนยันหุ้นนอกกำไรดีกว่า

นอกจากนี้ ยังสร้างโอกาสให้นักลงทุนไทย ในช่วงที่หุ้นไทยยังไม่ฟื้นชัด ด้วยการสร้าง DR (Depositary Receipts) ขึ้นมาเป็นทางเลือกในการใช้เป็นเครื่องมื ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ทำให้ DR เติบโตถึง 20% ปีนี้ ทั้งในแง่จำนวนและมูลค่าการซื้อขาย
สามารถลงทุนหุ้นต่างประเทศ เช่น Microsoft, Tesla, Nvidia ผ่านเงินบาท ไม่ต้องโอนเงินข้ามประเทศ และไม่เสียภาษีจากการนำเข้ากำไรเหมือนที่ไปลงทุนต่างประเทศโดยตรง

อีกด้าน กองทุน Thai ESGX ยังคงเป็นกระแสนิยม โดยมีเงินไหลเข้าแล้วกว่า 32,000 ล้านบาท และ ทางกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ อยู่ระหว่างผลักดัน “บัญชีลงทุนแห่งชาติ” (Thailand Individual Saving Account – TISA) ที่ได้สิทธิทางภาษีด้วย จะเป็นเท่าไหร่ต้องติดตามกันต่อไป เพื่อรวมกองทุนต่างๆที่ได้สิทธิภาษีแต่มีระยะเวลาในการลงทุนหรือได้สิทธิภาษีจำกัดเช่น Thai ESGX ก็ได้สิทธิภาษี 5 ปี จะนำกองทุนเหล่านั้นมารวมไว้ใน TISA เพื่อให้เกิดการลงทุนระยะยาว ให้มีแรงจูงใจต่อเนื่อง

ตลาดหุ้น ESG อาเซียน

ในระยะยาว เน้นเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้กับตลาดทุนไทย รองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี พร้อมสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจยุคใหม่และการลงทุนที่ยั่งยืน ใน 6 ด้านหลัก

นอกจาก JUMP+ ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังจะเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มกลางเพื่อช่วยบจ. จัดการต้นทุน ESG ตามแผนที่ไทยลงนามในพันธสัญญาปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น 0 คือ ระบบ “SET Carbon”ศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนฯ ซึ่งมีระบบการคำนวณ Carbon Credit ลดภาระจากมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดว่าผู้ที่จะส่งสินค้าไปยุโรปต้องมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นไปตามมาตรฐาน CBAMทั้งนี้ มีแผนจะร่วมมือกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน เพราะการซื้อขายคาร์บอน ในภูมิภาคเอเชียคงไม่ได้มีมูลค่ามาก เพราะแต่ละประเทศคงซื้อจากภายในประเทศของตัวเองมากกว่า จากการที่มีราคาถูก และภาษี รวมถึงกฎหมายในเรื่องดังกล่าวของแต่ละประเทศแตกต่างกัน

นอกจากนี้ ยังเปิดตัวแพลตฟอร์ม Bond Connect ให้ประชาชนจองซื้อพันธบัตรผ่านแพลตฟอร์มกลางคล้ายจองหุ้น IPO เพื่อส่งเสริมการลงทุนภาครัฐอย่างทั่วถึง ซึ่งล่าสุดมีเรื่องจี โทเคน เพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งกำลังติดตามอยู่ว่าจะออกมาอย่างไร
เพื่อเชื่อมโยงการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดทุน

ผลักดันธุรกิจ New Economy เข้าจดทะเบียน ด้วยการปรับเกณฑ์ Incentive และร่วมมือกับ BOI เพื่อดึงดูดบริษัทศักยภาพจากต่างประเทศ

ส่งเสริมการออมและการลงทุนผ่าน TISA โดยสร้างกลไกสนับสนุนที่เอื้อต่อการเข้าถึงของผู้ลงทุนทั่วไป ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น

ยกระดับระบบซื้อขายด้วย AI ปูทางสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกลไกตลาดทุน

สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจครอบครัวยั่งยืน ผ่านการเข้าถึงตลาดทุนและปรับแนวทางโครงสร้างองค์กร

ผลักดันกฎหมายเพื่อสร้างรากฐานการพัฒนา เช่น Regulatory Guillotine และ Omnibus Law รวมถึงการเปิดทางให้ใช้โครงสร้างหุ้นแบบ Dual-Class Shares

ภายใต้ทิศทางดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ย้ำถึงความสำคัญของการประสานความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ ภาครัฐ และกระบวนการยุติธรรมเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเดินหน้าปรับปรุงกฎเกณฑ์ LiVEx เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และ Startup อย่างต่อเนื่อง

นายอัสสเดช ย้ำว่า หุ้นไทยต้องขายมากกว่าแค่หุ้นราคาถูก เราต้องขายโอกาสในการเติบโต และ ความมั่นใจว่าตลาดทุนคือที่ต่อยอดอนาคต และไม่ได้หวังเพียงการไล่ราคาหุ้นให้กลับไปจุดเดิม แต่ต้องการยกระดับตลาดทุนทั้งระบบให้พร้อมรับมือกับโลกธุรกิจยุคใหม่ และเงินทุนเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนอย่างรวดเร็วที่ต้องใช้เวลาและอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

รายงานโดย วารุณี อินวันนา