HoonSmart. com>>ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เวชธานี ที่ระดับ “BBB+” ด้วย แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” เด่นด้านการรักษาพยาบาลแบบครบวงจร ในตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ฐานผู้ป่วยรายได้ปานกลางถึงสูงหนุน
บริษัททริสเรทติ้ง ระบุว่า การพิจารณาอันดับเครดิต บริษัท เวชธานี ( VTN) คำนึงถึงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังและแผนการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้นของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีโรงพยาบาลหลักเพียงแห่งเดียว รวมถึงภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมให้บริการทางการแพทย์ และปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในด้านการให้บริการสุขภาพในตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เอาไว้ได้ โดยโรงพยาบาลเวชธานีได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านการรักษาเฉพาะทาง อาทิ ด้านกระดูกและข้อ (Orthopedics) ศัลยกรรมกระดูกสันหลัง ระบบทางเดินอาหาร คลินิกผู้มีบุตรยาก (In Vitro Fertilization – IVF) รวมถึงกุมารเวชศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้โรงพยาบาลเป็นหนึ่งในตัวเลือกของผู้ป่วยต่างชาติบางกลุ่มที่ต้องการรับบริการทางการแพทย์ในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าประเทศไทยจะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากบริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุมและหลากหลาย ราคาที่แข่งขันได้ ชื่อเสียงในด้านการบริการที่ใส่ใจแบบไทย และมาตรฐานการรักษาที่อยู่ในระดับสูง
คาดว่ารายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจะเติบโตในระดับสูงโดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ด้านบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นจากผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านและความพยายามของบริษัทในการขยายฐานผู้ป่วยไปยังกลุ่มใหม่ ๆ
นอกจากนี้ การลงทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัทในเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง เช่น การผ่าตัดและระบบฟื้นฟูสมรรถภาพโดยมีหุ่นยนต์ช่วยนั้นก็คาดว่าจะช่วยยกระดับศักยภาพในการรองรับการรักษาผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านจำนวนผู้ป่วยและระดับความเข้มข้นของการรักษา ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้บริษัทขยายการเข้าถึงกลุ่มผู้ป่วยรายใหม่ ๆ ได้
บริษัทมีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้รวม ทั้งนี้ ในปี 2567 จำนวนผู้ป่วยจากประเทศคูเวตที่ลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่รัฐบาลคูเวตมีการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านสวัสดิการได้ส่งผลทำให้รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติของบริษัททรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนแม้ว่าผู้ป่วยจากประเทศอื่นจะมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ตาม
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมารายได้จากผู้ป่วยชาวคูเวตเคยมีสัดส่วนสูงถึงประมาณหนึ่งในสี่ของรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติรวมของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2568 รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติกลับมาเติบโตที่ระดับ 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่สูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน บริษัทก็พยายามที่จะเพิ่มฐานผู้ป่วยต่างชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้นต่อไปโดยเห็นได้จากการเติบโตในตลาดใหม่ ๆ
สำหรับผู้ป่วยชาวไทยนั้น บริษัทมีรายได้จากผู้ป่วยภายใต้ระบบประกันที่เติบโตเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับรายได้จากผู้ป่วยที่ชำระเงินเองซึ่งขยายตัวน้อยเนื่องจากข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจและการเข้าถึงระบบสวัสดิการสังคมที่เป็นทางเลือกอื่น ๆ
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นเป็น 31% ของรายได้จากบริการทางการแพทย์ทั้งหมดของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2568 จาก 29% ในปี 2567 และ 25% ในปี 2566 โดยผู้ป่วยภายใต้ระบบประกันสุขภาพส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย
คาดว่าผลกระทบในเชิงลบจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการประกันมาเป็นระบบร่วมจ่ายซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 นั้นจะดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากระบบใหม่ดังกล่าวจะต้องใช้เวลาในการสะสมจำนวนกรมธรรม์ใหม่ให้มีสัดส่วนมากพอที่จะส่งผลต่อภาพรวมของผู้ป่วยภายใต้ระบบประกันสุขภาพ ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงได้รับความคุ้มครองแบบเต็มจำนวนอยู่
บริษัทมีรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยที่เติบโต 5% ในปี 2567 และ 1% ในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยการเติบโตดังกล่าวมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากสัดส่วนของกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการให้บริการทางการแพทย์แบบเฉพาะทางและขั้นสูง
คาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเติบโตในอัตรา 3%-7% ต่อปีในช่วงปี 2568-2570 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งอุปสงค์ในการรักษาที่มีความซับซ้อนซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่สูงขึ้น และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบริการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
คาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.2-1.3 พันล้านบาทต่อปีและบริษัทจะมี EBITDA Margin อยู่ที่ระดับ 32.0%-32.5% ตลอดช่วงเวลาประมาณการ ทั้งนี้ อัตรากำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทคาดว่าจะได้แรงสนับสนุนจากมาตรการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ การดำเนินกลยุทธ์การตลาดแบบดิจิทัล การใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงพยาบาลจิตเวชแห่งใหม่ของบริษัท
บริษัทสามารถรักษาระดับอัตรากำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในกลุ่มบริษัทที่ให้บริการทางการแพทย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมี EBITDA Margin อยู่ในช่วง 31%-32% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่อยู่ในช่วง 22%-24% อย่างมีนัยสำคัญ
สถานะเครดิตของบริษัทยังคงมีข้อจำกัดจากการพึ่งพาโรงพยาบาลหลักเป็นอย่างมากซึ่งน่าจะยังคงสร้างรายได้มากกว่า 90% ของรายได้รวมของบริษัทต่อไปได้ตลอดช่วงประมาณการ
แม้ว่าโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสุขภาพจิตแห่งใหม่ของบริษัท คือ โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์ (Bangkok Mental Health Hospital – BMHH) เริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นหลังจากเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2566 แต่รายได้ดังกล่าวยังคงมีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลหลักของบริษัท โดย BMHH สร้างรายได้ที่จำนวน 58 ล้านบาทในปี 2567 และจำนวน 23 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2568 โดย EBITDA ของโรงพยาบาลแห่งใหม่กลับมาเป็นบวกที่จำนวน 3.4 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2568 ซึ่งสะท้อนแนวโน้มที่ดีในการปรับปรุงผลการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาล BMHH นั้นยังคงอยู่ในช่วงเร่งสร้างผลการดำเนินงานและคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการเพิ่มรายได้และความสามารถในการทำกำไร รวมถึงสร้างสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบริการด้านจิตเวช
ปัจจุบันบริษัทกำลังพัฒนาโรงพยาบาลทั่วไปแห่งใหม่ คือ โรงพยาบาล เวชธานี วัฒนะวิภา บนถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายเครือข่ายโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มการให้บริการและสร้างความหลากหลายให้แก่เครือข่ายโรงพยาบาล โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 3 พันล้านบาทซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2570
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างโรงพยาบาลระดับตติยภูมิขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนที่ประมาณ 5 พันล้านบาทโดยจะดำเนินการหลังจากโครงการที่ถนนแจ้งวัฒนะแล้วเสร็จอีกด้วย ทั้งนี้ แผนการขยายโรงพยาบาลเหล่านี้คาดว่าจะช่วยลดการพึ่งพาโรงพยาบาลหลักของบริษัทลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและจะเพิ่มความหลากหลายของรายได้จากสินทรัพย์หลากหลายแห่งให้มากขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งในช่วง 3 ปีข้างหน้าแม้จะมีการลงทุนตามแผนงานสำหรับโครงการใหม่ ๆ ก็ตาม โดย ณ เดือนธันวาคม 2567 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจำนวน 1.1 พันล้านบาทและยังคงสถานะเงินสดสุทธิซึ่งเห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนที่อยู่ในระดับต่ำมาก
คาดว่าเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.2-1.8 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2568-2570 โดยเงินลงทุนประมาณ 300-350 ล้านบาทจะใช้สำหรับการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ในโรงพยาบาลหลักและมีการลงทุนเพิ่มเติมในระดับจำกัดสำหรับโรงพยาบาลจิตเวช ในขณะที่บริษัทจะจัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ไปยังโรงพยาบาลทั่วไปแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ที่กำลังก่อสร้าง ส่วนเงินทุนสำหรับโครงการโรงพยาบาลแห่งใหม่ดังกล่าวจะมาจากกระแสเงินสดภายในเป็นหลักและบางส่วนจะมาจากการเพิ่มทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจ และอาจใช้เงินกู้เพิ่มเติมบางส่วน แม้จะมีการลงทุนดังกล่าว แต่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทก็คาดว่าจะยังคงอยู่ต่ำกว่า 1.0 เท่าตลอดช่วงประมาณการ
ในระยะยาว โครงการโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 5 พันล้านบาทนั้นอาจส่งผลทำให้ระดับหนี้สินทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในท้ายที่สุดแล้วจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการลงทุน การเติบโตของรายได้และกำไร รวมถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท
สภาพคล่องที่เพียงพอ
ประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2567 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่จำนวน 1.6 พันล้านบาทและมีสินเชื่อระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 1.1 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่จำนวนประมาณ 1 พันล้านบาทในปี 2568 แหล่งเงินทุนเหล่านี้น่าจะเพียงพอสำหรับรองรับภาระหนี้ต่าง ๆ ของบริษัทซึ่งประกอบด้วยหนี้สินระยะยาวและภาระผูกพันตามสัญญาเช่าจำนวน 220 ล้านบาทรวมถึงงบลงทุนตามแผนงานที่จำนวนประมาณ 1.6 พันล้านบาทในปี 2568
โครงสร้างหนี้
ณ เดือนธันวาคม 2567 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยรวมของบริษัทซึ่งไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่าอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1.1 พันล้านบาท โดยประมาณ 74% ของหนี้สินรวมของบริษัทเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งรวมถึงหนี้เงินกู้จากธนาคารที่มีหลักประกันของบริษัทแม่และหนี้ทั้งหมดของบริษัทย่อย เนื่องจากบริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอยู่ในสัดส่วนที่สูงกว่า 50% ตามเกณฑ์ของทริสเรทติ้ง
ดังนั้น จึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันในการเรียกร้องค่าทดแทนจากสินทรัพย์ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2568-2570 รายได้จะเพิ่มขึ้น 3%-7% ต่อปีในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า EBITDA Margin จะอยู่ในช่วง 32.0%-32.5% เงินลงทุนจะอยู่ที่ระดับปีละ 1.2-1.8 พันล้านบาท
