HoonSmart.com>>หุ้นไทยซึม! บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ฟันธงจะลงอีกไม่มาก แต่จะขึ้นแรงก็ยาก รอต่ำกว่า 1,100 จุด เป็นจุดเข้าซื้อสะสมหุ้น ยกสถิติ PE แตะ11.5 เท่าจะเด้ง กำไรบจ.ไตรมาส 3 ดีขึ้น ลุ้นดอกเบี้ยลงอีก 2-3 ครั้ง ชู 5 จุดเด่น BCH, CPF, DIF, MTC ,SCC ฟินโนมีนา เชื่อตลาดคงไม่ถึงขั้นปรับฐานลงลึก ชวนเก็บแถว 1,000 จุด พอร์ตลงหุ้นนอก 50% ด้านธปท.ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน คงเป้าศก.ปีนี้โต 2.3% ปีหน้า 1.7% ยอมรับภาษีสหรัฐช็อกกระทบยาว

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า สหรัฐประกาศเก็บภาษีไทย 36% ผลกระทบต่อบจ.ไทยค่อนข้างจำกัด มีผลทางอ้อมมาก อินโนเวสท์ เอกซ์ยังคงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2568 ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมองว่าระดับต่ำกว่า 1,100 จุด เป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ การฟื้นตัวของตลาดยังต้องอาศัยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย คาดครึ่งปีหลัง ดอกเบี้ยลดลง 2-3 ครั้ง การเร่งลงทุนภาครัฐ และเสถียรภาพของสภาพคล่องในระบบ
กลยุทธ์สำคัญสำหรับช่วงไตรมาส 3 คัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทั้งในด้านงบดุล รายได้ที่หลากหลาย Valuation ที่เหมาะสม และโอกาสรับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์การลงทุนในประเทศและการค้าโลกที่ฟื้นตัว หุ้นเด่นที่เลือก ได้แก่ BCH, CPF, DIF , MTC และ SCC โดย DIF มีจุดเด่นที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 11% ต่อปี ขณะที่ราคาค่อนข้างทรงตัว
” หุ้นไทยถูกมากจนถึงระดับที่น่าสนใจ จากสถิติที่ผ่านมา หุ้นจะเด้งขึ้น หากลงไปแตะที่ระดับ PE 11.5 เท่า ตอนนี้วงจรการปรับลดประมาณการกำไรบจ.ยังไม่สิ้นสุด ผลงานไตรมาสที่ 2 ยังลูกผีลูกคน คาดไตรมาสที่ 3 และครึ่งปีหลังจะค่อยๆดีขึ้น ส่วนค่าเงินดออลาร์สหรัฐคาดจะแข็งค่าขึ้นในครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาครวมถึงเงินบาทอ่อนค่าลง แต่ไม่กดดันให้เงินไหลออก เพราะที่ผ่านมาไหลเข้ามาไม่มาก “นายสิทธิชัยกล่าว
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยไตรมาส 3 ความเสี่ยงทางลงมีจำกัด แต่ Upside ก็ไม่มาก เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในหลายด้าน การกระจายพอร์ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพยังเป็นหัวใจหลักของการลงทุนในภาวะที่ตลาดมี upside ไม่มาก แต่มีความผันผวนสูง
ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า ไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความเสี่ยงต่อเนื่องจากสงครามการค้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอลงจากผลกระทบภาษี คาดเฟดจะไม่ลดดอกเบี้ยและเงินเฟ้อจะเพิ่มสู่ 3.6% ส่วนไทยเผชิญความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะอัตราภาษี 36% ทำให้มีความเสี่ยงต่อประมาณการ GDP ปีนี้ที่ 1.4% (สมมุติฐานภาษีที่ 15%) อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เวียดนามเมื่อวันที่ 2 ก.ค2568 อาจเป็นฐานสำหรับการเจรจาการค้าของไทย โดย (1) ไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม และ (2) ไทยจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นอีกมาก หากการเจรจาสำเร็จ และทำให้ภาษีลดลงเหลือ 15-20% GDP จะเติบโต 1.1-1.4% (ความน่าจะเป็น 30%) แต่หากภาษี 21-28% GDP จะขยายตัว 1.0-0.0% (ความน่าจะเป็น 50%) ส่วนในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากต้องเผชิญภาษี 29-36% GDP อาจหดตัวที่ติดลบ 1.0-ติดลบ1.1% (ความน่าจะเป็น 20%)
นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ฟินโนมีนา แนะนำว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยยังสามารถที่จะเลือกลงทุนได้ในกลุ่ม SETHD Index หรือหุ้นปันผลสูง ที่มีราคาลงมามากแล้ว และหลายบริษัทให้อัตราผลตอบแทนปันผลระดับ 7% ซึ่งเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติยังถือลงทุน
ทั้งนี้ แนะนำให้รอเก็บบริเวณ 1,000 จุด ซึ่งเป็นแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งจากการมีเงิน LTF หนุนอยู่ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยแนวต้าน 1,350 จุด ถ้าสถานการณ์ภาษีการค้าจบ ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ จะกลับมาฟื้นตัว ตลาดหุ้นไทยก็จะอยู่ในเทรนด์เดียวกัน
“แนะนำจัดพอร์ตหุ้น 50% ในจำนวนนี้เป็นหุ้นสหรัฐ 25% อีก 25% เป็นหุ้นตลาดเกิดใหม่ไม่รวมจีน อีก 40% เป็นตราสารหนี้ และ 10% เป็นสินทรัพย์ทางเลือก เช่นทองคำ โดยหุ้นต่างประเทศสามารถลงทุนผ่าน DR ได้”นายชยนนท์ กล่าว
วันที่ 9 ก.ค. 2568 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,110.40 จุด ลดลง 5.25 จุด หรือ -0.47% มูลค่าซื้อขาย 27,165.01 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 6.68 ล้านบาท นักลงทุนไทยซื้อ 1,026.14 ล้านบาท ส่วนบัญชีหลักทรัพย์ขาย 601.24 บาท สถาบันขาย 431.58 ล้านบาท
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ และพิจารณาในระยะข้างหน้าในเรื่องจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ความไม่แน่นอนสูง ในปี 2568-2569 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปประมาณการไว้ที่ 0.5% และ 0.8% ตามลำดับเงินเฟ้อหมวดพลังงานปี 2568-2569 จะติดลบ 3.2% และ -1.3% ซึ่งติดลบสองปีจะไม่ค่อยได้เห็น เป็นสาเหตุที่ทำให้เห็นเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อหมวดอาหารสดในปี 2568-2569 ประมาณการที่ 1.2% และ 1.6% เมื่อมองที่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (ปี 2553-2562 ก่อนโควิด) อยู่ที่ 1.5% แต่ปีนี้ค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ มองว่าไทยยังไม่ได้อยู่ในภาวะเงินฝืดแต่อย่างใด
ตอนนี้ทุกประเทศเห็นด้วยว่าภาษีสหรัฐทำให้”ช็อก”ที่มีผลกระทบขนาดใหญ่ทอดไปในระยะยาว และค่อนข้างรุนแรงในแง่เชิงโครงสร้าง กนง.ให้ความสำคัญกับนโยบายการเงินไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
น.ส.บัณณรี ปัณณราช ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า คงประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ 2.3% ครึ่งปีแรกยังขยายตัว แต่จะชะลอตัวในครึ่งปีหลัง และต่อเนื่อง คาดว่าปี 2569 จะขยายตัวได้เพียง 1.7% ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอดีตอยู่ที่ 3% ชะลอตัวลงพอสมควร จากการส่งออกที่คาดว่าจะติดลบ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวต่ำมาก ที่คาด่วาจะขยายตัวไม่ถึง 1% การบริโภคก็ชะลอตัวลงเช่นกัน ทั้งนี้ ยังต้องติดตามหลายประเด็นทั้งผลการเจรจาการค้า ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนในประเทศ และความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่ออาจจะกระทบกลุ่มเปราะบาง และกระทบผู้ประกอบการ
“เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 5.5% YTD อยู่ระดับที่สอดคล้องกับภูมิภาค”
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมาได้หารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และภาคธุรกิจที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือผลลัพธ์จากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยได้มอบการบ้านให้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพราะแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากลักษณะธุรกิจมีความแตกต่างกันเพื่อจะได้รู้ว่าควรจะกำหนดมาตรการในการให้ความช่วยเหลืออย่างไร โดยให้ส่งข้อมูลกลับมาในวันศุกร์ที่ 11 ก.ค. นี้ และถ้าข้อมูลยังไม่เพียงพอ ก็สามารถเรียกมาคุยกันใหม่ได้ ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการนัดหารือของรัฐบาลที่บ้านพิษณุโลก แต่ยืนยันว่า จะได้ข้อสรุปทั้งหมดก่อนวันที่ 31 ก.ค.นี้ อย่างแน่นอน
———————————————————————————————————————————————————–

