ไทยเสนอภาษี 0% สหรัฐต่อลมหายใจ 1 ส.ค. SET ดีดบวก 3 จุด ชู ‘P/E-ปันผล’ ดีกว่าเอเชีย

HoonSmart.com>>ขุนคลังแบไต๋ข้อเสนอใหม่ รับใช้โมเดลภาษี 0%สำหรับสินค้าบางประเภท ลดขาดดุลการค้าลง 70% เดินหน้าปรับเข้าสู่สมดุล “ทรัมป์” ใจดี เลื่อนเก็บภาษีสูงออกไปเป็น 1 ส.ค. กร้าวเพิ่ม 10% ประเทศที่หนุน BRICS ต่อต้าน ด้าน หุ้นไทยไม่ตื่นตระหนก ลงลึกสุด 12 จุด ก่อนดีดกลับปิดบวก 3 จุด เกาะกลุ่มตลาดเอเชีย  “อัสสเดช” ยันไม่รีบออกมาตรการมาดูแลตลาด “ศรพล”เห็นหุ้นไทยแกร่ง แนะถ้าไม่อยากตกขบวนขาขึ้น รักษาวินัยลงทุน-เดินหน้าตามกลยุทธ์’Stay Invest’ 


นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยถึงการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ว่า ไทยยื่นข้อเสนอไปล่าสุด ปรับปรุงจากข้อเสนอเดิม โดยเฉพาะเรื่องอัตราภาษี ซึ่งไทยอาจจะต้องให้ภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ 0% มากพอสมควร แต่คงไม่ได้ให้ทั้งหมดทุกรายการ เหมือนเวียดนาม

นอกจากนี้ยังแสดงเจตนาปรับปรุงการค้าระหว่างไทย-สหรัฐให้มีความเหมาะสมเพื่อให้เข้าสู่สมดุล แนวทางที่สำคัญ คือ ต้องทำให้การค้าขายระหว่าง 2 ฝั่งมีมากขึ้น ล่าสุดไทยได้จัดส่งรายละเอียดการปรับปรุงข้อเสนอ และยื่นให้กับทางสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว

“ไม่ใช่ว่าคุยครั้งเดียวแล้วจะจบได้ ต้องค่อยๆขยับ จำนวนประเทศที่ยังไม่ได้รับคำตอบก็ค่อนข้างเยอะ ช่วงที่เดินทางไปสหรัฐฯ มีโอกาสได้เจอกับภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนในไทย และภาคเกษตรกรรม ได้รับรู้ปัญหาเพิ่มเติม ได้ข้อเสนอต่าง ๆ จึงเป็นที่มาของการปรับปรุงเรื่องการค้าให้สมดุล และภาษีให้มีความเหมาะสม”นายพิชัยกล่าว

ส่วนกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่า จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% กับประเทศที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านสหรัฐของกลุ่ม BRICS ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในพันธมิตรนั้น ต้องพิจารณาในรายละเอียดให้ลึก ๆ ว่าหมายถึงอะไร และยังไม่ได้มีการประเมินเรื่องนี้ ส่วนกรณีสหรัฐส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีรายประเทศนั้น ยังไม่กล้ายืนยันว่าไทยมีโอกาสจะได้รับจดหมายตอบกลับวันไหนหรือจะได้อัตราภาษีที่เท่าใด แต่ไม่เป็นความจริงที่ไทยจะถูกจัดเก็บอัตราภาษีที่ 18-36% เพราะการเจรจายังไม่ได้ข้อสรุป

ทางด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ไทยเสนอให้ขยายการเข้าถึงตลาดสำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ รวมถึงเพิ่มการซื้อพลังงานและเครื่องบินโบอิ้ง ข้อเสนอล่าสุดของรัฐบาลไทยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นปริมาณการค้าทวิภาคีและลดดุลการค้า 46,000 ล้านดอลลาร์ของไทยกับสหรัฐฯ ลง 70% ภายใน 5 ปี และจะถึงจุดสมดุลภายใน 7-8 ปี นายพิชัย กล่าวกับบลูมเบิร์กนิวส์ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้สินค้าของสหรัฐฯ จำนวนมากที่สามารถเข้าถึงตลาดของไทยได้มากขึ้นนั้นมีปริมาณน้อยในประเทศ จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรหรือผู้ผลิตในท้องถิ่น

นายพิชัยกล่าวว่าไทยพยายามกำหนดอัตราภาษีที่ดีที่สุดไว้ที่ 10% และเสริมว่าแม้จะกำหนดไว้ที่ 10-20% ก็ยังถือว่ายอมรับได้ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้คือไทยจะได้รับข้อตกลงที่แย่ที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในภูมิภาค

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า สหรัฐฯ ใกล้จะสรุปข้อตกลงการค้าหลายฉบับในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และจะแจ้งให้ประเทศอื่นๆ ทราบถึงอัตราภาษีที่สูงขึ้นภายในวันที่ 9  ก.ค. โดยอัตราภาษีที่สูงขึ้นมีกำหนดจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.2568

ทางด้านนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ข่าวล่าสุด เรื่องการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯจะเริ่มมีผลวันที่ 1 ส.ค. 2568 เลื่อนจากกำหนดเดิม 9 ก.ค.นี้ กำลังติดตามข่าวเช่นเดียวกัน

” วันนี้จะให้ตลาดมีมาตรการรีแอ็กต์ (ตอบสนอง) ข่าวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราก็ลำบาก แนะนำว่า ขอให้นักลงทุนวิเคราะห์ข่าวให้ดี รอฟังจากผู้มีอำนาจในการตัดสินใจจริง”

ส่วนอัตราภาษีที่จะต้องจ่ายกรณีส่งออกไปสหรัฐ หากเสียภาษีสูงกว่าหลายประเทศ หลายอุตสาหกรรมก็จะเหนื่อยหน่อย จากข้อมูลบจ.ส่งสินค้าไปสหรัฐ มูลค่าค่อนข้างน้อย แต่จะดูอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมีการส่งไปประเทสอื่นแล้วส่งต่อไปสหรัฐอเมริกา

นายตลาดหุ้นโลกได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางในระยะสั้น จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอยู่ในช่วง 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อีกทั้งผู้ลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับความคืบหน้าของการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ หลังประกาศข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการกับเวียดนามซึ่งถือเป็นประเทศแรกใน ASEAN ที่บรรลุข้อตกลงในการลดกำแพงภาษี นอกจากปัจจัยภายนอกในเดือนมิถุนายนแล้ว
ผู้ลงทุนไทยยังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้งยังมีปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศที่กำลังเข้าสู่ช่วงที่ความไม่แน่นอนสูงหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง สว. ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี และมีมติสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางในระยะสั้น จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอยู่ในช่วง 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อีกทั้งผู้ลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับความคืบหน้าของการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ หลังประกาศข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการกับเวียดนาม ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงในการลดกำแพงภาษี

นอกจากปัจจัยภายนอกในเดือนมิ.ย.ผู้ลงทุนไทยยังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้งยังมีปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศที่กำลังเข้าสู่ช่วงที่ความไม่แน่นอนสูง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง สว. ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี และมีมติสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

ทั้งนี้ข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่า แม้จะเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์หรือการประกาศสงคราม ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว มักเผชิญกับความผันผวนเพียงระยะสั้น ก่อนจะฟื้นตัวและกลับมาให้ผลตอบแทนในทิศทางบวกได้ภายในเวลาไม่นาน ตลาดหุ้นไทยได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในลักษณะเดียวกันตลอดเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักแนะนำว่าการรักษาวินัยการลงทุนและเดินหน้าตามกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง หรือ “Stay Invest” จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ผู้ลงทุนไม่พลาดโอกาสสำคัญ หากดัชนีตลาดสามารถพลิกกลับขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะถัดไป

ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งเนื่องจากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการผลิตและการเร่งส่งออก ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจปีนี้เป็น 2.3% รวมถึงมีการเปิดขายกองทุนรวม Thai ESGX มี Fund Flow ของผู้ลงทุนเข้ามาอยู่ในกรอบกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงหุ้นไทยในช่วงความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในหลายมิติผ่านโครงการ “JUMP+” เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย ซึ่งกองทุนต่างประเทศให้ความสนใจ จากญี่ปุ่นประสบความสำเร็จแล้ว

” ข่าวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นปัจจัยระยะสั้น อะไรที่คาดเดาได้ ผู้ลงทุนมีข้อมูลอยู่แล้ว ไม่มีผลกระทบมากนัก ตอนนี้มีตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การส่งออก เนื่องจาก 2 ไตรมาสแรก ดีมากๆ คาดขยายตัว 4% การลงทนภาครัฐ มองโต 4-6% มีการเร่งเบิกจ่าย”

สำหรับการปรับตัวลงแรงของตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ร่วงลง 22.2% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. ส่งผลให้ Forward P/E อยู่ที่ 11.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นเอเชียที่ 12.4 เท่า และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 4.51% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นเอเชียที่ 3.30%

นายศรพลกล่าวถึงหุ้นเข้าจดทะเบียนใหม่ในปี 2568 ขณะนี้มี 5 บริษัทเข้าซื้อขายในตลาด mai 33 ล้านดอลลาร์ ถือว่าดีกว่าบางประเทศ เช่น สิงคโปร์มี 4 ล้านบาท เวียดนาม 0% ไม่มีหุ้นเข้าใหม่เลยในปีนี้

กระทรวงพาณิชย์รายงานเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. หดตัว 0.25% y-y แย่กว่าที่ตลาดคาดว่าจะติดลบ 0.1% เงินเฟ้อพื้นฐาน +1.06% นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงหลักทรัพย์ที่ให้ผู้ลงทุนกลุ่ม High-Frequency Trading (HFT) สามารถซื้อได้เฉพาะหุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เพื่อลดความผันผวนของราคาหุ้นขนาดกลางและเล็ก เริ่มใช้ 7 ก.ค. 68 นี้

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 7 ก.ค. 2568 หลังไทยไม่สามารถจบดีลการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐ คาดว่าอาจจะต้องจ่ายในอัตราสูงถึง 36% ปรากฎว่า ตลาดหุ้นปรับตัวลงลึกสุด -12.48 จุดแตะ 1,107.46 จุด แต่กลับมาปิดกระโดดบวก 3.06 จุด ที่ระดับ 1,123 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 31,447.59 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 573.67 ล้านบาท นักลงทุนไทยซื้อ 586.20 ล้านบาท ส่วนสถาบันขาย  1,089.24 ล้านบาท

“หุ้นดีดกลับหลังจากมีแรงซื้อหุ้นใหญ่ ในกลุ่มธนาคาร  ICT อิเล็กทรอนิกส์-Data Center นำโดย DELTA ระหว่างวันมีแรงขายเพราะสหรัฐ  จำกัดส่งออกชิป AI ไทย-มาเลเซีย ขณะที่มีแรงทิ้งหุ้นนิคมอุตสาหกรรม”

 

 

 
 
 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–