HoonSmart.com>>กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ชี้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ’68 เสี่ยงถดถอย SET อาจหลุด 1,000 จุดถ้างบปี’69 ไม่ผ่าน ถูกแต่ยังไม่น่าซื้อ เหตุจีดีพีไม่โต EPS มีแนวโน้มถูกหั่นต่อ แนะลดหุ้นไทย ขายตราสาร ไปต่างประเทศจับจังหวะบาทแข็ง ลงทุนตลาดยุโรป อินเดีย กลุ่มพลังงานนิวเคลียร์มาแรง ตราสารหันถืออายุ 3-5 ปี ทองคำ ย้ำหุ้นสหรัฐฯยังต้องมี 2 ใน 3 ของพอร์ต
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโต 1.6% จากเดิมคาดไว้ 1.7% และปี 2569 จะเติบโต 1.5% ซึ่งเป็นการคาดการณ์ภายใต้ไทยเสียภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 10% และร่างงบประมาณปี 2569 ผ่านสภา นักท่องเที่ยวกลับคืนมาในช่วงปลายไตรมาส 4 แต่ถ้างบประมาณปี 2569 ไม่ผ่านสภาจะทำให้การเบิกจ่ายล่าช้า จะฉุดจีดีพี 1% เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตปี 2566
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เวียดนาม เจรจากับสหรัฐฯจบแล้วได้มา 20% โดยที่ยอมสหรัฐฯทุกอย่าง ส่วนไทยมีหลายเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้ กรณีที่ดีที่สุดในการเจรจารอบนี้อาจจะถูกยืดเวลาออกไปยังถูกเก็บที่ 10% แต่ถ้าออกมาแย่ต้องดูว่า ประเทศอื่นๆ ในแถบนี้เขาได้มาเท่าไหร่ด้วย”ดร.พิพัฒน์ กล่าว
ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยสูงในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ จากความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบาย อาจเกิดภาวะเกียร์ว่าง ของงานราชการ และนักลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจน ,ภาคการท่องเที่ยวฟื้นช้า โดยช่วงก่อนโควิดมีนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคน ปีที่ผ่านมาเริ่มฟื้นมาอยู่ที่ 35 ล้านคน ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนหายเพราะช็อคกับเรื่องความปลอดภัย คาดว่าการท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นในช่วงไตรมาส 4 จีนและยุโรปกลับมา ,การปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารหดตัวต่อเนื่อง การส่งออกที่เติบโตในช่วงที่ผ่านมาแต่ยังไม่สะท้อนไปที่ภาคการผลิต เพราะยังไม่เห็นการผลิตเพิ่มเพื่อชดเชยสต็อกสินค้า
“เรียกว่าเศรษฐกิจไทยเจอ perfect storm เจอพายุหลายลูกที่ถาโถมมาพร้อมกัน ทำให้เกิดการช็อคระยะสั้น หากสามารถคลี่คลายความไม่แน่นอนได้ และเดินหน้าเชิงนโยบายภายใต้ระบอบประชาธิปไตยได้ ยังมีโอกาสฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจะเห็นชัดเจนในครึ่งหลังของปี 2569″ดร.พิพัฒน์ กล่าว
นายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน (CIO Office) บล.เกียรตินาคินภัทร ประเมิน SET Index ช่วงครึ่งปีหลังที่ 1,000-1,230 จุด จะมีความผันผวนสูงจากการที่มีเรื่องการเมืองเกิดขึ้น ถ้างบประมาณปี 2569 ไม่ผ่าน ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสต่ำกว่า 1,000 จุด รวมถึงการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว

หากมองออกยาวออกไปหลัง 6 เดือน 12 เดือน และ 18 เดือน การปรับตัวของหุ้นไทยจะมีจำกัดกว่าหุ้นโลก หุ้นที่ลงทุนไทยจะมีกลุ่มโรงพยาบาล แนะนำ PR9 และ BDMS ที่ยังมีการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว และหุ้นกลุ่มสื่อสาร ได้แก่ ADVANC และ TRUE ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจเท่าไหร่นัก
“ที่ผ่านมา แนะนำนักลงทุนมาตลอด 7-8 ปีว่าควรจะกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ ต้องใช้ความพยายามมาก วันนี้ไม่ต้องเชิญชวนนักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศหนักเหมือนเมื่อก่อน นักลงทุนเดินมาหาเองว่าจะต้องไปลงทุนต่างประเทศอย่างไร ทำให้บริษัทฯยกระดับการให้บริการขึ้นมาอีกขั้นด้วยการจับมือกับโกลด์แมนแซค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์”นายทวีศักดิ์ กล่าว
นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า หุ้นไทยระยะสั้นมี perfect storm ระยะยาวก็มีปัจจัยเชิงโครงสร้างฉุดไว้ ถ้าเศรษฐกิจโต 1.6% หุ้นไทยแทบไม่มีกำไรเลย แม้ว่าจะซื้อขายที่ระดับ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่ความถูกของตลาดอาจไม่เพียงพอ หากไม่มีแรงหนุนจากเสถียรภาพทางนโยบายและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การไปลงทุนต่างประเทศจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
“พอร์ตหลักที่เป็นหุ้น 80% โดย 2 ใน 3 ยังเป็นหุ้นสหรัฐฯ ตามขนาดของมาร์เก็ตแคปโลก แม้ช่วงนี้จะเห็นนักลงทุนถอนการลงทุนในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ออกมา จากความกังวลเรื่องหนี้สาธารณสูง และนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ดอลลาร์อ่อนลง แต่ก็ยังมีน้ำหนักใหญ่สุดในตลาดโลก”นายทวีศักดิ์ กล่าว
นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า ช่วงนี้หุ้นยุโรปน่าสนใจขึ้น จากการที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เช่น ในเยอรมัน พีอียังต่ำกว่าหุ้นโลกประมาณ 10% และจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างเร็วและแรง มีหุ้นเทคโนโลยี หุ้นเติบโตสูง เริ่มเห็นหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน โดยกำไรปี 2568 อาจจะยังแย่ แต่ปี 2569 และปี 2570 มีการปรับประมาณการกำไรขึ้นอีกใกล้ๆ 4%

ตลาดหุ้นอินเดียและหุ้นพลังงาน มีศักยภาพการเติบโตระยะยาวจากโครงสร้างประชากรขนาดใหญ่และอายุน้อย การเมืองมีเสถียรภาพทางและได้รับอานิสงส์จากการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน จีดีพีโตดีมาก แม้ valuation สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่ยังถือว่าน่าสนใจเมื่อเทียบกับพื้นฐานและแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว
กลุ่มธุรกิจพลังงานนิวเคลียร์เป็นโอกาสลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจ จากแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตเร็ว ตามเทรนด์ electrification โดยเฉพาะเรื่องของรถยนต์ ,data center ที่ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น มีการผลิตไฟฟ้าได้เสถียรกว่าพลังงานลมและแสงแดด ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และราคาถูก
ตราสารหนี้สหรัฐ ได้ปรับการให้น้ำหนักลงทุนเป็นระดับ “กลาง” จาก 2 ปีก่อนที่ให้ลงทุนมากกว่าตราสารหนี้โลก เหตุผลมาจากความกังวลหนี้สาธารณะและการขาดดุลเพิ่มขึ้น โดยแนะนำให้ลงทุนพันธบัตรอายุ 3-5 ปี
ตราสารหนี้ไทยเช่นกัน ได้ปรับลดมุมมองลงโดยแนะนำให้น้ำหนักอยู่ระดับกลาง แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก แต่มองว่าราคาได้สะท้อนภาพการลดดอกเบี้ยที่ยังไม่เกิดขึ้นไปแล้ว และให้ขายทำกำไร จากนั้นลงทุนตามความเสี่ยงของแต่ละคน
ทองคำ ช่วยลดความเสี่ยงได้ดีในระยะสั้น และแนวโน้มระยะยาวยังดีจากการที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ มีการซื้อทองคำสะสมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะราคาปีนี้ปรับขึ้นมาถึง 26% ต้องลงทุนผ่านเครื่องมือที่มีการป้องกันความเสี่ยง
ค่าเงินบาท มองไว้ที่ 32-36 บาท จากวันนี้ถึง 2 ปีข้างหน้า จากการที่ค่าดอลลาร์อ่อนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ยูโร เงินเยน และเงินปอนด์ ปัจจุบันเงินบาทอยู่ประมาณ 32 บาทต้นๆ ถือว่าแข็ง การลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างถูก และได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าไทยมาก แต่ต้องกระจายไปในหุ้นหลายๆ ประเทศ ซึ่งบริษัทมีหลักทรัพย์ที่มีการลงทุนที่หลากหลายประเภทในประเทศต่างๆ
