HoonSmart.com>>กรุงศรีอยุธยา ประกาศเป้าปี’68 ดันสินเชื่อธุรกิจญี่ปุ่นโต 9% กับฐานลูกค้าเก่า เดินหน้าดึงเงินลงทุนใหม่เข้าไทย ขยายธุรกิจเทรนด์ใหม่ศักยภาพสูง นำเสนอโซลูชันการเงินที่ตอบโจทย์ ESG หนุนธุรกิจออกสู่ตลาดอาเซียน เผย 71 บริษัทจ่อคิวรับบริการ จากแผน 100 แห่งภายใน 3 ปี
นายบุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC Banking) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า ธนาคารมุ่งสนับสนุนธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทยให้ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนมาตลอด 60 ปี ทั้งด้านการเงิน และการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ครบวงจร ความเชี่ยวชาญในประเทศ พร้อมด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ MUFG จึงสามารถนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งของธุรกิจญี่ปุ่น ครอบคลุมถึงพนักงานและผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วน จนสามารถครองใจกลุ่มลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นได้อย่างต่อเนื่อง
“เรามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นครอบคลุมกว่า 70% ของธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทย สัดส่วนสินเชื่อ JPC ราว 10-12% ของสินเชื่อรวมของธนาคาร ขณะที่ส่วนแบ่งเงินฝากของลูกค้ากลุ่มนี้ 40-50%”นายบุนเซอิ กล่าว
นายบุนเซอิ กล่าวว่า ปี 2568 ตั้งเป้าหมายสินเชื่อธุรกิจ JPC ในไทยเติบโต 9% ด้วยการขยายธุรกิจกับกลุ่มลูกค้าเดิมเพิ่มมิติด้านความยั่งยืนให้มากขึ้น และการขยายฐานลูกค้าใหม่จากญี่ปุ่นสู่ไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Co-creating New Core Industries’ ด้วยการร่วมมือกับลูกค้าและภาครัฐในการผลักดันนวัตกรรมและโอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมหลักใหม่ที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เศรษฐกิจในอนาคตของไทยภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล
ทั้งนี้ มั่นใจว่าปี 2568 สินเชื่อลูกค้าองคกร์ข้ามชาติญี่ปุ่น จะสามารถโตได้ 9% ตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่พลาดเป้าเพราะการผลิตรถยนต์และการส่งออกรถยนต์ลูกค้าญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก จากหนี้ครัวเรือนสูงกำลังซื้อลดลง ผ่านกลยุทธ์ 3 ด้านสำคัญ ได้แก่
กลยุทธ์ที่ 1.ขยายความร่วมมือกับภาครัฐ ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายศักยภาพสูง ผ่านการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนวัตกรรม พร้อมขยายบทบาทในอุตสาหกรรมหลักใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาทิ ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร (Bio Green) เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) เทคโนโลยีการผลิตอาหาร (Food Technology) และ การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
จากปี 2567 ที่ได้จัดสัมมนา “Data Center: Opportunities in Thailand” เพื่อส่งเสริมศักยภาพของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านดาต้าเซนเตอร์
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ คือการสานต่อความสำเร็จของงาน Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair เวทีจับคู่ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนที่มุ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพได้พบปะเจรจาธุรกิจเพื่อต่อยอดการเติบโตในภูมิภาคอาเซียนและญี่ปุ่น
ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกรุงศรี หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรธุรกิจชั้นนำจาก 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียโดยมีสตาร์ทอัพดาวรุ่งจากหลากหลายกลุ่มธุรกิจกว่า 54 ราย และนักลงทุน 200 รายเข้าร่วมงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่น่าจับตามองอย่างเทคโนโลยี AI ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ และอุตสาหกรรมเกมและแอนิเมชันที่มีศักยภาพในการเป็นซอฟท์พาวเวอร์สำคัญของภูมิภาคสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นอกจากนั้น ภายในยังนำเสนอเทคโนโลยีด้านการป้องกันภัยพิบัติด้านแผ่นดินไหวจากประเทศญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเตรียมพร้อมให้อยู่รอดได้ ปรับตัวได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในระยะยาวได้ดีขึ้น
การจัดงานดังกล่าวสามารถสร้างโอกาสในการจับคู่ธุรกิจมากกว่า 400 คู่ภายในวันเดียว

งานในปีนี้ มี นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ุ (กลาง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม,ฯพณฯ นายโอตากะ มาชาโตะ(ซ้ายสุด) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย,นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์(ที่ 2 จากซ้าย) เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI),นายทาเคอุจิ คาซึฮิสะ(ขวาสุด) นายกเทศมนตรีเมืองคิตะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น,นายเคนอิจิ ยามาโตะ(ที่ 2 จากขวาสุด) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เข้าร่วมปาฐกถาในพิธีเปิดงาน
ในงานนี้ กรุงศรียังได้ลงนามความร่วมมือกับ Industrial Technology Investment Corporation เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพจากไต้หวันสู่ตลาดสากล
นอกจากนี้ ยังได้นำผู้เชี่ยวชาญด้านการลดคาร์บอนจากเมืองคิตะ คิวชู ญี่ปุ่นมาร่วมถ่ายทอดความรู้ และแสดงเทคโนโลยี ด้านการลดมลภาวะทางอากาศที่ทำสำเร็จมาแล้วที่เมืองคิตะ คิวชู ที่ในอดีตได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มลภาวะทางอากาศแย่มาก จากการที่มีอุตสาหกรรมหนักตั้งอยู่จำนวนมาก
นายบุนเซอิ กล่าวว่า กลยุทธ์ที่ 2 เสริมสร้างศักยภาพธุรกิจผ่านโซลูชันทางการเงินและนวัตกรรมดิจิทัล พร้อมให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามกรอบ ESG เดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างต่อเนื่อง ผ่านความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นกับภาครัฐ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ กระตุ้นความตระหนักรู้ และผลักดันสู่แนวปฏิบัติที่ยั่งยืน
ปีที่ผ่านมา กรุงศรี ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อความยั่งยืนเป็นแห่งแรกในไทย ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในหลายอุตสาหกรรมได้แก่ โตโยต้า ลีสซิ่ง เอจีซี วีนิไทย และโซนี่ ดีไวซ์ เทคโนโลยี
รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสังคมแก่ โตโยต้า ลีสซิ่ง เพื่อช่วยกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่นกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ เกษตรกร เข้าถึงบริการทางการเงินได้ลงอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม
นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโซลูชันที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความยั่งยืนด้านอื่น ๆ เช่น การสนับสนุนการเงินสีเขียว
กลยุทธ์ที่ 3 ให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจปัจจุบัน มุ่งสู่การเป็น “ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคอาเซียน” ผ่านโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ และช่วยผลักดันการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน เดินหน้าสนับสนุนธุรกิจญี่ปุ่นและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สานต่อนวัตกรรม เสริมสร้างการเติบโต และยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อสนับสนุนความสำเร็จของลูกค้าและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ พร้อมเดินเคียงข้างเป็นพันธมิตรทางธุรกิจอันดับแรกที่ลูกค้าไว้วางใจ และเป็นแพลตฟอร์มเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ในปี 2567 ที่ผ่านมา เดินหน้าขยายบทบาทในอาเซียนผ่านบริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ Krungsri ASEAN LINK และประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงธุรกิจไทยกับธนาคารพันธมิตรทั้ง VietinBank ในเวียดนาม Danamon Bank ในอินโดนีเซีย และ Security Bank ในฟิลิปปินส์ ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงเครือข่ายและโซลูชันทางการเงินที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อีกไฮไลต์สำคัญคือการจัดงาน Krungsri ASEAN LINK Forum ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าธุรกิจและผู้ประกอบการกว่า 200 ราย ตอกย้ำศักยภาพของกรุงศรี MUFG และพันธมิตรในการช่วยขยายโอกาสธุรกิจในระดับภูมิภาค
“บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ Krungsri ASEAN LINK <เราตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าประมาณ 100 ราย ภายใน 3 ปี ปีนี้เข้าปีที่ 2 มีลูกค้าอยู่ใน pipeline 71 บริษัท เป็นบริษัทญี่ปุ่น 35% ที่เหลือเป็นบริษัทไทย ยกตัวอย่าง บริษัทผลิตน้ำมะพร้าวของไทย ออกไปตั้งโรงงานที่ฟิลิปปินส์ ทางเราได้ช่วยเชื่อมต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องให้ เช่น หาธนาคารท้องถิ่นในการสนับสนุนเงินลงทุน”นายบุนเซอิ กล่าว
