ทำไม!ทริสฯลดเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน “BEM”ลงจาก “A-” เป็น “BBB+”

HoonSmart.com>>บริษัท ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ  (BEM) ลงมาอยู่ที่ระดับ “BBB+” จากระดับ “A-” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”

ทำไม?

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต คือ ตัวชี้วัดทางการเงินอ่อนแอกว่าที่คาด ภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เกินกว่าที่ทริสเรทติ้ง เคยประมาณการไว้ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากการใช้จ่ายเงินลงทุนที่สูงกว่าที่คาดการณ์และการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัว

หนี้สินทางการเงินที่สูงกว่าคาดการณ์ จากการลงทุนเพิ่มเติมใน รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่ปรับปรุงแล้วต่อ EBITDA จะสูงถึง 18 เท่าในปี 2568 และ เกิน 20 เท่าในปี 2569-2571 โดยคาดว่าจะลดลงเหลือ 13-15 เท่าในปี 2572 และต่ำกว่า 10 เท่าในปี 2573 จากบริษัทจะชำระเงินค่าตอบแทนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้แก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เสร็จสิ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่ม EBITDA ของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ

มีการลงทุนโครงการใหญ่ การลงทุนในงานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้าในช่วงปี 2567-2573 ทั้งหมดนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.34 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า

บริษัทยังมีการลงทุนเพิ่มเติมในขบวนรถไฟฟ้าอีก 21 ขบวน รวมทั้งปรับปรุงระบบสำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอีกด้วย โดยมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งหมด 7.3 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มเติมจากสมมติฐานด้านการลงทุนของทริสเรทติ้งก่อนหน้านี้

การลงทุนโครงการ Double Deck Expressway อีกหนึ่งการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นคือโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck Expressway) ซึ่งยังไม่ถูกรวมอยู่ในการประมาณการกรณีฐานของทริสเรทติ้ง โครงการนี้ต้องใช้เงินลงทุนรวมประมาณ   3.5 หมื่นล้านบาทในช่วงระยะเวลา 4-5 ปี แม้ว่าการลงทุนดังกล่าวจะให้กระแสเงินสดระยะยาวที่สม่ำเสมอและมั่นคงจากธุรกิจทางด่วนแต่ก็จะเป็นภาระต่อฐานะทางการเงินของบริษัท

ขณะที่ การเติบโตของธุรกิจอยู่ในระดับปานกลาง คาดการณ์จำนวนผู้โดยสาร รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะอยู่ที่ 440,000-490,000 เที่ยว/วัน ในปี 2568-2570  ด้านธุรกิจทางด่วนยังคงมีรายได้ที่ สม่ำเสมอ แต่ได้รับผลกระทบจาก Hybrid Work Model

สำหรับธุรกิจทางด่วน เมื่อพิจารณาถึงการทำงานในรูปแบบผสมผสาน (Hybrid Work Model) อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้า คาดว่าปริมาณการจราจรเฉลี่ยต่อวันจะสม่ำเสมออยู่ที่ระดับ 1.10-1.16 ล้านเที่ยวในช่วงระหว่างปี 2568-2570

ผลกำไรถูบริษัทลดลง จากส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้แก่ รฟม. คาดรายได้ในช่วงปี 2568-2570 อยู่ที่ประมาณ 1.73-1.87 หมื่นล้านบาท ส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้ รฟม. สูงขึ้นทุกปี ไปจนถึงปี 2572 โดยส่วนแบ่งรายได้ดังกล่าวคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-5.6 พันล้านบาทต่อปีในทำให้ EBITDA Margin อยู่ที่ 25%-26% <span;>ในช่วงประมาณการ คิดเป็น EBITDA ที่ระดับ 4.5-4.9 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5-1.7 พันล้านบาทต่อปี

ส่องสถานะทางธุรกิจ  12 เดือนข้างหน้า

บริษัทมี เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ เดือนมี.ค. 2568 รวม 1.8 พันล้านบาท ,มีเงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท

มีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในปี 2569 รวม 1.58 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถ รีไฟแนนซ์ หนี้สินส่วนใหญ่ได้ มีการจ่ายเงินปันผลประมาณ 2.2 พันล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมี เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ใน รถไฟฟ้าสายสีส้ม และการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าสำหรับสายสีน้ำเงิน ได้รับการ สนับสนุนจากวงเงินสินเชื่อธนาคาร

นอกจากนี้ บริษัทยังมีความยืดหยุ่นทางการเงินจากการมีเงินลงทุนในหุ้นของ บริษัท ทีทีดับบลิว  (TTW) และ บริษัท ซีเค พาวเวอร์  (CKP) ซึ่งมีมูลค่ายุติธรรมรวมกันอยู่ที่ระดับ 1.02 หมื่นล้านบาท ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 อีกด้วย ช่วยเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินในการบริหารจัดการภาระหนี้

ข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2.5 เท่าและอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ไม่ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่ง ณ เดือนมี.ค.2568 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.97 เท่าและ 2.96 เท่าตามลำดับ