HoonSmart.com>>”ไออาร์พีซี”(IRPC) เร่งผลักดันผลดำเนินงานให้ดีขึ้น จากการทำ Asset Monetization (นำสินทรัพย์มาสร้างรายได้) และลดค่าใช้จ่าย รวมถึงบริหารจัดการบริษัทลูก สร้างกระแสเงินสด-กำไรให้บริษัทฯ หวังปลดภาระหนี้-เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ เล็งผลดำเนินงานไตรมาส 2 จะดีขึ้นจากไตรมาสแรก ตอนนี้ปรับลด Inventory ลงมาให้เหลือกว่า 7 ล้านบาร์เรล จากระดับ 10 ล้านบาร์เรล ช่วยลด Stock loss ได้ พร้อมเล็งหลัง 3 ปีจากนี้ธุรกิจพลิกฟื้น
น.ส.เอธิตา อนันตธุรการ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีนโยบายในการทำผลดำเนินงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งปีนี้จะเข้มขึ้นโดยการทำ Asset Monetization (การนำสินทรัพย์มาสร้างรายได้) ซึ่งน่าจะสร้างกำไรจากการทำด้วย และทำให้ค่าใช้จ่าย (Cost) ลดลง รวมถึงมีการบริหารจัดการบริษัทในเครือด้วย
“IRPC มีสินทรัพย์ที่เป็นที่ดิน ท่าเรือ และแทงค์ฟาร์ม จำนวนหนึ่ง จะมีการจัดการขายที่ดินให้นักลงทุนที่มาประกอบธุรกิจในนิคมแถบระยอง ส่วนท่าเรือและแท้งค์ก็คุยกับพาร์ทเนอร์อยู่ ซึ่งจะทำการจัดการจริงจังในปีนี้ ตอนนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามนโยบายอยู่ โดยบริษัทในเครือที่ไม่สร้างกำไรก็จะบริหารจัดการหรือปิดไป ส่วนการจัดการเงินลงทุนบริษัทลูก ถ้ามีรายได้ก็จะทำให้ผลดำเนินงานดีขึ้นเพื่อที่จะมีปันผลเข้ามา และบางส่วนจะมีการเจรจาขายเงินลงทุนไป ตรงนี้ทำให้บริษัทได้ Cash Flow และมีกำไรเข้ามา ในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องไปปีหน้า”
ในส่วนของเงินสดที่จะเข้ามาจากการทำ Asset Monetization และบริหารจัดการเงินลงทุนบริษัทลูก จะนำมาใช้ดูแลภาระหนี้สิน ยังมีเกี่ยวกับภาระดอกเบี้ย และชำระคืนหนี้ระยะยาว และเข้ามาบริหารสภาพคล่อง แม้ช่วงนี้ดูเหมือนสเปรดปิโตรเคมี และน้ำมันบางส่วนจะมีการเริ่มฟื้นตัวหลังจากที่มีการปรับลงไปต้นปีจากผลกระทบสงครามการค้า และเศรษฐกิจ ซึ่งได้เห็นสัญญาณฟื้นต้ว ก็จะนำเงินที่เหลือจากการดูแลภาระหนี้มาใช้ในการบริหารจัดการให้มีสภาพคล่องเพียงพอในธุรกิจของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทพยายามบริหารจัดการทุกส่วนของผลประกอบการให้ดีขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว สำหรับไตรมาส 2 ต้องบริหารจัดการต้นทุนให้เข้มงวดมากขึ้น น่าจะมีปัจจัยเสริมที่เป็นบวกจากสเปรด โดยไตรมาสแรกสเปรดผลิตภัณฑ์น้ำมันลดมาก พึ่งมาฟื้นในปลายไตรมาส 2 ก็น่าจะช่วยได้ โดยไตรมาส 2 ราคาน้ำมันดิบได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งบริษัทก็ได้มีการปรับลด Inventory ลงจากระดับ 10 ล้านบาร์เรล ตอนนี้จะปรับลงมาให้ถึงกว่า 7 ล้านบาร์เรล ซึ่งสามารถลดส่วนของ Stock loss ได้
“แง่การทำธุรกิจมีการเติบโตอยู่แล้ว เพียงแต่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ในเรื่องสงครามการค้า และเศรษฐกิจ มากระทบทำให้ไปได้ไม่ถึงเป้า แต่ก็มีปรับแผนระหว่างทาง มีการจัดตั้งวอรูม เพื่อช่วยให้ธุรกิจเข้าใกล้เคียงกับเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ให้มากที่สุด ก็น่าจะคงการเติบโตได้ในระดับหนึ่ง”
น.ส.เอธิตา กล่าวว่า ใน 1-3 ปีนี้บริษัทคาดว่าจะต้องเริ่มพลิกฟื้นแล้ว แม้จะมีความกังวลผลดำเนินงาน และสภาพคล่อง รวมถึงเรื่องเครดิตเรทติ้ง ตรงนี้ได้รับผลกระทบมาจากสภาพเศรษฐกิจที่กระเทือนทั่วโลก รวมถึงสงครามการค้า บริษัทฯก็มีแผนและมีวอรูม ส่วนหนึ่งที่ดูแลได้ก็เรื่อง Cost ส่วนใหญ่ และทำผลดำเนินงานให้ดีขึ้น โดยการนำเอาสินทรัพย์มีอยู่มาสร้างกำไรได้ทั้งท่าเรือง และแทค์ฟาร์ม รวมถึงเงินลงทุนของบริษัทด้วย ซึ่งต้องใช้มาตรการพวกนี้ไปก่อน พอพ้น 3 ปีไป นักเศรษฐศาสตร์มองปิโตรเคมีน่าจะกลับมาฟื้นตัว
“บริษัทให้ความสำคัญกับมาร์จิ้น ในส่วนบริหาร GIM มาจากทั้งส่วนโรงกลั่น ต้องเร่งลด Cost ให้เข้มงวด เพื่อให้แข่งขันกับโรงกลั่นอื่น ส่วนผลิตภัณฑ์ก็ต้องบริหารจัดการภายในก็เพิ่มส่วนพิเศษที่จะให้มาร์จิ้นสูงขึ้น แม้ช่วงนี้ Product ยังไม่น่าพอใจ แต่เห็นสัญญาณบางอย่างที่น่าพอใจในเรื่องเจรจาภาษี หลัก ๆ มาจาก GIM ให้ความสำคัญสุด และเร่งทำผลดำเนินงานให้ดีขึ้น ทั้งในส่วนของ Gross Margin และ EBITDA ให้กลับคืนมาเป็นบวก หรือดีขึ้นจากที่ผ่านมา และคำนึงสภาพคล่องการเงินทั้งระยะสั้น และระยะยาวให้เพียงพอในช่วงที่เผชิญกับ Challenge ที่ค่อนข้างยาก”
สำหรับค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 2-3 ปี 2568 ภาพรวมสเปรดคาดว่าจะทรงตัวหรือขยับขึ้นได้เล็กน้อย โดยมีปัจจัยบวกจากกิจกรรมการก่อสร้าง และการขนส่งในทวีปเอเชีย การผลิตไฟฟ้าช่วงฤดูร้อนในตะวันออกกลาง และเอเชีย ช่วยหนุน แต่ก็มีปัจจัยลบจากนโยบายการค้าของสหรัฐที่มีความไม่แน่นอน กดดันจำกัดปิโตรเลียมดีมานด์บางส่วน รวมถึงการประกาศ Export Quota ของจีนครั้งที่ 2 กดดันดีเซล และแก๊ซโซลีนด้วย
