FETCO แนะถือเงินสดเพิ่มคัดหุ้นจึ้ง เร่งรัฐชูไทยฐานผลิต-ลงทุนปึ๊ก

HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แนะนักลงทุนถือเงินสดเพิ่ม เลือกหุ้นแบบเจาะลึกมากกว่าเดิม เพิ่มเติมฟังเสียงทรัมป์ใกล้ชิด สะกิดผสานดอกเบี้ย-นโยบายคลัง สร้างความเชื่อมั่นไทยยังเป็นฐานการผลิต-ลงทุนที่มั่นคง ฝ่าดงความไม่แน่นอน

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ไตรมาสแรกของปีจะเห็นการส่งออกดีขึ้นจากแรงเร่งการนำเข้าในบางกลุ่มประเทศ และไตรมาส 2 ก็คิดว่ายังเป็นบวกเพราะอยู่ในช่วงของการเลื่อนขึ้นภาษี 90 วัน แต่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังไม่ได้ข้อยุติด้านการเจรจาทางการค้า และความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์

หากการเจรจาภาษีระหว่างประเทศมหาอำนาจไม่คืบหน้า ผู้ส่งออกไทยอาจได้รับผลกระทบจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

ภาครัฐและเอกชนควรร่วมกันเปิดตลาดใหม่ หาตลาดทดแทน และเจรจาการค้าอย่างแข็งขัน เช่น อินเดีย จีน หรือประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า

หากไทยสามารถเติมเต็มช่องว่างในตลาด จากการที่จีนและสหรัฐฯ ปรับลดการค้าระหว่างกัน อาจกลายเป็นโอกาสในการเพิ่มการส่งออก เช่น การส่งข้าวโพดที่เป็นอาหารสัตว์ไปจีน จากการที่จีนไม่นำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐ

สถานการณ์ในตลาดหุ้นอาจดูดีในระยะสั้น แต่ภาพรวมยังเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นจากสงครามการค้า ความผันผวนของนโยบายการเงินโลก หรือแรงกดดันจากนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

ถือเงินสดเพิ่ม-เลือกมากขึ้น

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์โลกที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จากนโยบายของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สงครามการค้า และความผันผวนของตลาดทุน ส่งผลให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง แม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนรายใหญ่ที่ฉลาดที่สุดในโลก ยังถือเงินสดในสัดส่วนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความกังวลต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่เสี่ยงสูงขึ้นและประเมินได้ยากกว่าเดิม

การลงทุนในหุ้นในภาวะแบบนี้ไม่สามารถพึ่งพาปัจจัยพื้นฐานได้เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป หลายครั้งราคาหุ้นเคลื่อนไหวจากคำพูดหรือนโยบายของผู้นำ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย และสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดโลก

ขณะนี้ เศรษฐกิจไทยจะยังพอไปต่อได้ แต่สถานการณ์ก็ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยง นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์ จากที่เคยเลือกลงทุนหุ้นอะไรก็ขึ้นในช่วง 2 ปีก่อน กลายเป็นว่าปัจจุบันต้องเลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง เข้าใจธุรกิจ และพิจารณาปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้

กลุ่มท่องเที่ยวยังไปได้ แม้จำนวนลดลง แต่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) บอกว่ารายได้จากการท่องเที่ยวยังดี แต่การลงทุนต้องเลือกเจาะจงมากขึ้น ต้องดูว่าบริษัทไหนทำธุรกิจที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มไหน โดยนักท่องเที่ยวคุณภาพ คือ กลุ่มจากยุโรป รัสเซีย และออสเตรเลียที่มีการใช้จ่ายสูงและพักยาว

ขณะที่กลุ่มรายได้น้อยลดลงเพราะภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากค่าเงินแข็ง การใช้บริการต่างๆ จะลดลง และอาจย้ายไปเที่ยวประเทศอื่น ภาครัฐควรสนับสนุนงบประมาณในการส่งเสริมภาพลักษณ์และความปลอดภัยของประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น

กลุ่มปิโตรเคมีฯ ต้องระวัง เพราะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ต้องทำการปรับปรุงอีกมาก แต่จากการที่มีน้ำหนักขนาดใหญ่สุดในตลาดหุ้น และปัจจัยพื้นฐานยังดี ก็ยังต้องลงทุนอยู่

ผลเจรจาภาษีชี้นำดอกเบี้ยเฟด

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า เฟดก็รอดูผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หากยังไม่มีข้อสรุปในอีก 5-6 สัปดาห์ข้างหน้า อาจส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่เดิมทีคาดว่าจะลดลงในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก

แต่ตอนนี้มีสัญญาณว่าอาจไม่ลด ทำให้ตลาดทุนสะท้อนความไม่แน่นอนนั้นไว้มากแล้ว จะเห็นว่าตลาดได้สะท้อนความเชื่อดังกล่าวออกมาราว 80% มองว่าเฟดจะไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.

อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดที่ทำงานใกล้ชิดกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่ายังไม่สามารถคาดการณ์ได้ ต้องรอดูผลการเจรจาการค้าก่อนตัดสินใจ และประกาศชัดว่าเฟดจะไม่เป็น uncertainty ของตลาดทุน

ทำให้ตลาดหุ้น S&P 500 และ แนสแด็ก ปรับเพิ่มขึ้นกลับมาอยู่ในจุดก่อนวันที่ 1 เม.ย.ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก โดยหวังว่าทรัมป์ จะไม่ประกาศอะไรออกมาที่ช็อคโลก

สำหรับ เศรษฐกิจไทยอาจไม่เติบโตในอัตรา 5% หรือ 4% หรือ 3% แต่ขอให้โตได้บ้าง แม้เล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะรักษาความเชื่อมั่นของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งภาคการเงินและภาคการคลังต้องช่วยกัน “แจวเรือ” ให้ผ่านพ้นพายุเศรษฐกิจโลกในปีที่ไม่ง่ายเช่นนี้ไปให้ได้

ภาคการเงิน มองว่าควรลดดอกเบี้ยอีก ภาคการคลังต้องส่งเสริมการลงทุน ปลดล็อคต่างๆ เพื่อรับนักลงทุนเข้ามาเร็วขึ้น เพื่อให้มีแรงส่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปต่อได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอน

“เศรษฐกิจไทยในสถานการณ์ความไม่แน่นอน ไม่จำเป็นต้องโตเร็ว แต่ต้อง “มีทิศทางไปต่อ” ซึ่งหลังผลการเจรจาการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจออกมา นักลงทุนกำลังจับตามองว่าเศรษฐกิจประเทศไหนจะไปก่อน เราต้องรักษา “ความมั่นใจ” และส่งสัญญาณว่าไทยยังเป็นฐานการผลิตและลงทุนที่มั่นคงในอาเซียน”ดร.กอบศักดิ์ กล่าว