“คิงส์ฟอร์ด”คาดแนวต้านดัชนี 1,170 จุด แนะ TFG-TACC

HoonSmart.com>>บล.คิงส์ฟอร์ คาดแนวโน้มดัชนีวันนี้ได้แรงหนุนจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนเริ่มลดลง ด้านกนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยหนุนตลาด แนวต้าน 1,170 จุด แนวรับ 1,140-1,150 จุด แนะทยอยซื้อกลุ่มไฟแนนซ์ กลุ่ม ESG เรตติ้งสูง ราคาร่วงลงมาก คาดได้แรงซื้อจากกองทุน Thai ESGX พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นแนะ TFG, TACC

บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,140 – 1,150 จุด แนวต้าน 1,170 จุด คาดดัชนีได้แรงหนุน หลังสงครามการค้าสหรัฐ – จีนเริ่มลดลง กอปรคาดการประชุม กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยลง 0.25% ถือว่าเป็นผลบวกต่อดัชนี แนะนําทยอยซื้อไฟแนนซ์ SAWAD,MTC,KTC,DIF ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง และกลุ่มที่มี ESG เรตติ้งสูงและราคาหุ้นปรับลดลงมาก เช่น AMATA,WHA,GSPC,BEM,CPN,CPALL ได้แรงหนุนจากกองทุน Thai ESGX

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดวันศุกร์ DJIA +0.05%, S&P500 +0.74%, Nasdaq +1.26% ได้แรงหนุนจากกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, เทคโนโลยี หลังจีนได้ยกเว้นการเก็บภาษีศุลกากรสินค้านําเข้าจากสหรัฐบางรายการ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ม.มิชิแกนเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ เม.ย. ลดลงอยู่ที่ 52.2 และมี.ค. 57.0 ต่ําสุดในรอบ 32 เดือน

หุ้นเด่นแนะนำ TFG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 5.60 บาท) แนวโน้ม 1Q68 มีปัจจัยหนุนการเติบโต QoQ, YoY จากราคาสุกรในประเทศและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Supply ทั่วโลกลดลงจากโรค ASF ขณะที่สถานการณ์หมูเถื่อนในไทยคลี่คลายไปแล้ว

ส่วน 2Q68 กําไรน่าจะดีต่อเพราะราคาสุกรยังอยู่สูง ขณะที่แนวโน้มต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง สําหรับปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15%YoY และเตรียมขยายสาขาร้าน “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” ให้มีจํานวนสาขา 600 แห่ง จากปีที่ผ่านมามีสาขาอยู่ที่ 401 แห่ง ช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้ธุรกิจ ทั้งนี้ตลาดคาดกําไรปี 68 ที่ 4.2 พันล้านบาท +34%YoY

หุ้น TACC (ซื้อ /ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 6.00 บาท) เข้าสู่ฤดูร้อนเป็น High Season ของกลุ่มเครื่องดื่ม คาดว่าภาพรวมการดําเนินงานยังมีแรงหนุนต่อเนื่องจากธุรกิจ B2B จาก 7-11 ขณะที่สินค้าใหม่ๆยังมีต่อเนื่อง โดยช่วง 6 มีนาคม – 30 เมษายน 2568 ออกเครื่องดื่มใหม่ “น้ําผึ้งมะนาว” (Honey Lime)

ด้าน TACC เองปีนี้ ตั้งเป้าผลักดันรายได้ให้เติบโต Double Digit ทะลุ 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบัน ตลาดคาดว่าในปี 68 และ 69 กําไรสุทธิของ TACC* จะอยู่ที่ระดับ 276 ล้านบาท (+11.61%YoY) และ 324 ล้านบาท (+17.39%YoY)